Honda city 1.5 I-VTEC
สำหรับ รถมือสอง Honda City 2009-2013 เป็นรถมือสอง ซิตี้ คาร์ จากค่าย Honda ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ i-VTEC ขนาด 1.5 ลิตร 120 แรงม้า นอกจากนี้ ซิตี้ ยังมีระบบควบคุมลิ้นปีกผีเสื้อแบบอิเล็กทรอนิกส์ DBW ระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบเกียร์ธรรมดา และเบาะนั่งดีไซน์สปอร์ตใหม่ โอบกระชับ ปรับระดับสูง-ต่ำได้ตามความต้องการ พร้อมไฟคู่หน้า และกระจังหน้าที่ออกแบบใหม่หมด ซึ่งเป็นดีไซน์ทันสมัย ดูโฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้น มาพร้อมระบบกระจายแรงเบรก ระบบเสริมแรงเบรกและระบบกันล้อล็อค พร้อมเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ เพิ่มความปลอดภัยในยามขับขี่มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารรู้สึกอุ่นใจในทุกการเดินทางด้วย ฮอนด้า ซิตี้ มือสอง ส่วนภายในจะมาพร้อมระบบเครื่องเสียงที่เต็มไปด้วยคุณภาพ และเทคโนโลยีเต็มเปี่ยม สามารถปรับ และควบคุมการใช้งานเครื่องเสียงผ่านพวงมาลัยได้อย่างง่ายดาย สำหรับราคา ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่นี้จะเริ่มต้นที่ 534,000 บาท และสำหรับรถมือสองราคาลงมาถือว่า ซึ่งโดยรวมถือว่ารถมือสองเป็นรุ่นที่น่าสนใจมาก เพราะมีระบบเทคโนโลยีใหม่ๆ เยอะ แถมยังเหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปในวันเร่งรีบ
ต่อมา ฮอนด้า ซีตี้ได้ปรับโฉม ในปี 2014 ซึ่งเป็นรถมือสองที่ยังคงขายดีอีกรุ่น และยังคงครองยอดขายในตลาดได้ดีทีเดียว ฮอนด้า ซิตี้ มือสอง โฉมนี้ จะมี 5 รุ่นให้เลือกในประเทศไทย
คือ รุ่น S (เกียร์ธรรมดา), V , V+ , SV และ SV+
สำหรับเครื่องยนต์ก็ยังใช้เครื่องยนต์ตัวเดิม ขนาด 1.5 ลิตร แต่พละกำลังถูกลดลงเล็กน้อยลงเหลือ 117 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 146 นิวตัว-เมตรที่ 4,700 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT พร้อมระบบ Paddle Shift 7 สปีด และมีเกียร์ธรรมดา 5 สปีดในรุ่นล่างสุด รองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E85 ในทุกรุ่นย่อย พร้อมกับระบบ Econ Assist ที่ช่วยให้การขับขี่ประหยัดน้ำมันมากขึ้นพร้อมทั้งยังมีโครงสร้างนิรภัย G-CON ระบบป้องกันการล็อกล้อ ABS ระบบควบคุมการทรงตัว VSA ระบบช่วยออกตัวในทางชัน HSA (ยกเว้นรุ่นเกียร์ธรรมดา) และไฟเตือนการเบรกกระทันหัน ESS เป็นอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยมาตรฐานในทุกรุ่นย่อย และตั้งแต่รุ่น V+ ขึ้นไปจะมีเสาครีบฉลาม (Shark Fin) และหน้าจอระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รุ่นปรับโฉม รุ่นปรับโฉมของฮอนด้า ซิตี้ ได้เผยโฉมเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2560 โดยมีการเปลี่ยนแปลงภายนอกคือ กระจังหน้าแบบใหม่ที่มีลักษณะใกล้เคียงกับฮอนด้า ซีวิค และได้ใช้ไฟหน้าและไฟตัดหมอกแบบ LED ในรุ่น SV และ SV+ ส่วนไฟส่องสว่างในเวลากลางวันแบบ LED มีมาให้ในทุกรุ่นย่อย ในรุ่น V และ V+ เพิ่มฟังก์ชันกระจกมองพับเก็บด้วยไฟฟ้า ภายในมีการปรับปรุงบริเวณหน้าจออินโฟนเทนเมนต์เล็กน้อยและมาตรวัดแบบใหม่ส่วนระบบความปลอดภัยได้มี ABS, VSA, HSA, ESS ในทุกรุ่นย่อย กล้องมองหลังเวลาถอยจอดปรับมุมมองได้ 3 ระดับ (เฉพาะรุ่น V+, SV, SV+) และถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่งสำหรับรุ่น SV+ เท่านั้น ส่วนรุ่นที่เหลือได้ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง ซึ่งเหมือนเดิมทุกอย่างเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนปรับโฉม
ฮอนด้าซิตี้ (Honda City) 2018 ได้มีการปรับโฉมอีกครั้งซึ่งยังคงเป็นรถมือสอง ที่มีให้เลือกด้วยกัน 5 รุ่น ได้แก่ S (เกียร์ธรรมดา) , S , V , V+ , SV , SV+
สีภายนอก 5 สี ประกอบด้วย Cosmic Blue Metallic สีน้ำเงิน, White Orchid Pearl สีขาว, Modern Steel Metallic สีเทา, Crystal Black Pearl สีดำ, Taffeta White สีขาว, Lunar Silver Metallic สีเงิน
Honda City SV+ 2018 ราคาจะอยู่ที่ 550,000 ฿ – 751,000 ฿
สำหรับห้องโดยสารภายใน
-เมื่อเปิดประตูด้วยระบบ Keyless เข้ามา จะพบวัสดุหุ้มเบาะภายในเป็นผ้า
-พื้นที่ภายในที่ดูกว้างขึ้น รำคาญพนักพิงหัวและเบาะที่ดู อาจนั่งไม่สบายมากนัก
-พื้นที่ห้องโดยสารตอนหลังนั่งสบายขึ้นขยายความกว้างของพื้นที่หัวไหล่เพิ่ม 40มม.
-พื้นที่วางขาเพิ่มอีก 60มม.
-เบาะตอนหลังพับ 60:40 ได้ ในรุ่น SV และ SV+ ซึ่งต้องดึงปุ่มพับเบาะที่ห้องโดยสาร
ตอนหลัง จึงสามารถพับลงได้
– ด้านเครื่องปรับอากาศเป็นระบบแอร์อัตโนมัติ ที่การใช้งานถือว่าทำได้เย็นฉ่ำ
-รูปแบบใหม่ของ Honda ปรับ 4 ทิศทาง มีสวิทช์ Multifunction และ Cruise Control รวมถึงปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ พร้อมแป้น Paddle Shift ขนาดเล็ก ยึดติดกับตัวพวงมาลัย
– ส่วนระบบเชื่อมต่อก็มีครบ ทั้ง USB, AUX in จนถึงสาย HDMI แต่จะไม่มี CD Slot
ขุมพลังเครื่องยนต์
–ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ SOHC i-VTEC 1,497cc แต่มีการปรับจูนใหม่ เพื่อให้รอบรับกับเกียร์ CVT ลูกใหม่ และ รองรับน้ำมัน E85
-ได้แรงม้าสุทธิ 117 แรงม้า @6,000rpm และ แรงบิด 146Nm@4,700rpm
-มีตัวเลขเคลม อัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน 17.7 กม./ลิตร (เบนซิน) และปล่อย CO2 อยู่ที่ 133 กรัม/กม.
-ตัวเลขสมรรถนะ 0-100 กม./ชม. ใน 12.054 วินาที ¼ mile 19.257 วินาที (โหมด D)
0-100 กม./ชม. ใน 11.731 วินาที ¼ mile 18.687 วินาที (โหมด S)
-ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองจากมาตรวัดหน้าจอการวิ่งเดินทางไกลเฉลี่ยที่ความเร็ว 100-110 กม./ชม.
ได้ค่าเฉลี่ย 17.3 กม./ลิตรและหากวิ่งแช่ที่ความเร็ว 100 กม./ชม.แบบรักษาคันเร่งให้เนียนที่สุด
ตัวเลขออกมาสวยที่ 18.1 กม./ลิตร สำหรับการวิ่งใช้งานเฉลี่ยเกือบทั้งทริปที่เราได้นำรถมา
จะได้ 16.1 กม./ลิตร
ระบบส่งกำลังเกียร์
– การขับขี่จากตำแหน่งเกียร์ D ก็สามารถ Shift เปลี่ยนเกียร์ได้เลยจาก แป้นที่พวงมาลัย
-การใช้ Engine Brake ในการลดความเร็วแบบกระทันหันเสียมากกว่า ซึ่งจะได้แรงดึงจากเครื่องยนต์พอสมควร ช่วยชะลอความเร็วได้ดีเยี่ยม
-ความเร็วต่อรอบ เครื่องยนต์ ได้ทำการวัด 3 ค่า 80 กม./ชม. = 1,500rpm
100 กม./ชม.= 1,900rpm 120 กม./ชม= 2,250rpm
ระบบบังคับเลี้ยว
– เป็นพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน ผ่อนแรงไฟฟ้า EPS แบบ 3 ก้าน
– ดูเบาสัมผัสได้ถึงระบบมอเตอร์ช่วยผ่อนแรง กำลังทำงาน แต่ไม่เบาหวิวคล่องตัว
ระบบกันสะเทือน
– ด้านหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบ ทอร์ชั่นบีม
ระบบเบรก
– ด้านหน้าเป็นแบบดิสก์แบบมีครีบระบายความร้อนมาให้ และด้านหลังเป็นแบบดรัม
– การที่ปรับลดสเป็กนั้น ไม่ได้ทำให้สมรรถนะในการด้านการหยุดรถ นั้นดูแย่ลง ในเชิงของความรู้สึก
ในการขับขี่ กลับรู้สึกว่า มันออกจะเซ็ตเบรกมาดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ในด้านระบบความปลอดภัย
– ABS, EBD, BA, TCS (ระบบป้องกันล้อลื่นไถล),
– VSA (ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว)
– HSA (ช่วยออกตัวบนทางลาดชัน)
– ESS (ไฟฉุกเฉินติดอัตโนมัติเมื่อกระทืบเบรกกระทันหัน)
– สำหรับในรุ่น SV+ นี้ จะมี side curtain airbag
รายละเอียดทางเทคนิค Honda City
-ใช้เครื่องยนต์ DOHC i-VTEC 1.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 117 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 146 นิวตันเมตร
-ส่งกำลังด้วยเกียร์ CVT EarthDream ลงสู่ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า FF
-ระบบบังคับเลี้ยว พวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน ผ่อนแรงไฟฟ้า EPS
-ระบบเบรก จานดิสก์คู่หน้า และคู่หลังแบบดรัด
-ระบบกันสเทือน ด้านหน้าแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังทอร์ชั่นบีม H-Shape
All-New Honda City 2020
เปิดตัว เครื่องยนต์ใหม่ 3 สูบ 1.0 ลิตร เทอร์โบ 122 แรงม้า ราคาเริ่มต้น 5.795 แสนบาทถึง 7.39 แสนบาท
All-New Honda City 2020 เจนเนอเรชั่นที่ 5 มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ใหม่ สปอร์ต และเส้นสายชัดเจนมากขึ้น โดยมีการลดขนาดขุมพลังหรือ Downsizing เครื่องยนต์จากเดิมเบนซิน 1.5 ลิตร 4 สูบ เป็น 1.0 ลิตร 3 สูบแทน เพื่อให้เข้าโครงการ Eco Car Phase 2 ซึ่งในช่วงนี้เรทราคาของรถมือสองถือว่ายังพอจับต้องได้ ซึ่งเมื่อซื้อ ฮอนด้าซิตี้ มือสอง ถือว่าจะได้รถในสภาพที่ยังใหม่ การใช้งานยังถือว่าไม่มากเท่าที่ควร เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับรถจากศูนย์ถือว่าสภาพใกล้เคียงกัน แต่ได้ราคามือสองที่ถูกกว่ามาก
สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกมีความสปอร์ตและสง่างามมากขึ้น ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED และไฟท้ายแบบ LED กระจังหน้าแบบโครเมียม เสาอากาศแบบครีบฉลาม และล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ขนาด 15 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบพื้นที่ให้สอดคล้องกับสรีระสำหรับทุกที่นั่งทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสาร มาพร้อมความหรูหราและสวยงามยิ่งขึ้นในโทนสีดำ หรือเบาะหนังและภายในสีทูโทน ไอเวอรี่/ดำ (เฉพาะรุ่น SV) คอนโซลหน้าแบบ Piano Black มือจับเปิดประตูด้านในตกแต่งโครเมียม
มาตรวัดเรืองแสงพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง SIRI พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ เป็นต้น
City รุ่นใหม่ยังมาพร้อมชุดแต่งสไตล์สปอร์ตแบบ RS รอบคัน โดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบ Gloss Black และสัญลักษณ์ RS มาพร้อมกันชนหน้าและกระจังหน้าสไตล์สปอร์ต ไฟหน้าดีไซน์ใหม่แบบ LED พร้อมไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED ไฟตัดหมอกแบบ LED กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ตพร้อมไฟเลี้ยวในตัว สปอยเลอร์หลังแบบ Gloss Black พร้อมสัญลักษณ์ RS และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 16 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารสะท้อนความสปอร์ตยิ่งขึ้นด้วยเบาะหนังกลับดีไซน์ใหม่ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง พร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ พร้อมมาตรวัดเรืองแสงสีแดง และดึงดูดทุกสายตาด้วยสีภายนอกใหม่ สีแดงอิกไนต์ (Ignite Red) เฉพาะรุ่น RS
มาดูกันที่สเปกเครื่องยนต์กันบ้าง บล็อกเบนซิน 3 สูบ ขนาด 1.0 ลิตร DOHC VTEC TURBO 12 วาล์ว มาพร้อมเทอร์โบชาร์จ มอบพละกำลังสูงสุด 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 – 4,500 รอบต่อนาที ให้สมรรถนะการขับขี่ที่เหนือกว่าเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร (เมื่อเทียบกับรุ่นเดิม) และแรงบิดเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร
ผสานการทำงานกับระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง (CVT) มีอัตราความประหยัดน้ำมันที่ 23.8 กิโลเมตร/ลิตร มีระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบ 7 สปีด สะดวกสบายด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ โดยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานไอเสียยูโร 5 (EURO 5) ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ 99 กรัม/กิโลเมตร และสามารถรองรับน้ำมัน E20 ได้อีกด้วย
ระบบความปลอดภัยครบครันด้วยโครงสร้างตัวถังนิรภัย G-Force Control หรือ G-CON ปกป้องห้องโดยสารจากการชนรอบทิศทางด้วยถุงลม 6 ตำแหน่ง ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle Stability Assist – VSA) ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Start Assist – HSA) และกล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมองได้ 3 ระดับ (Multi-angle Rearview Camera)
ตัวถังภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีใหม่ สีแดงอิกไนต์ (เมทัลลิก) เฉพาะรุ่น RS สีขาวแพลทินัม (มุก) เฉพาะรุ่น RS และรุ่น SV สีดำคริสตัล (มุก) สีเงินลูนาร์ (เมทัลลิก) สีเทาโมเดิร์นสตีล (เมทัลลิก) และสีขาวทาฟเฟต้า เฉพาะรุ่น V และรุ่น S
Honda City ใหม่ ออกจำหน่ายทั้งหมด 4 รุ่น โดยมีราคาดังนี้
รุ่น RS ราคา 7.39 แสนบาท
รุ่น SV ราคา 6.65 แสนบาท
รุ่น V ราคา 6.09 แสนบาท
รุ่น S ราคา 5.795 แสนบาท
2021 Honda City
Honda City e:HEV (ฮอนด้า ซิตี้ อีเอชอีวี) เปิดตัวในเดือนพฤศจิกายน 2563 และยังได้เปิดตัว 2021 Honda City Hatchback e:HEV (ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ค อีเอชอีวี) เป็นครั้งแรกของโลกในประเทศไทยอีกด้วย
หลาย ๆ คนคงจะชอบ และคิดจะซื้อ 2021 Honda City (ฮอนด้า ซิตี้) ด้วย ราคาดี เครื่องยนต์เหมาะใช้งานในเมืองแต่ก็ยังไม่รู้จะซื้อรุ่นไหนดี ระหว่างรองท็อปอย่าง SV หรือไปให้สุดกับ RS มาดูกันว่าแค่รุ่นรองท็อปก็เพียงพอแล้วราคา 2021 Honda City
อัตราการประหยัดน้ำมัน 27 กม./ล. จากรุ่นเดิมที่เคลมไว้ประมาณ 23 กม./ล. แม้มีราคาแพงกว่า แต่ก็สามารถเอาไปทดแทนค่าน้ำมันได้
ดีไซน์ภายนอกของ City e:HEV ตกแต่งในรูปแบบ RS พร้อมไฟหน้าแบบ LED, กระจังหน้าสีดำ Gloss Black พร้อมโลโก้ฮอนด้าพื้นสีฟ้า และล้ออัลลอยสีทูโทนขนาด 16 นิ้ว ภายในติดตั้งจอแสดงข้อมูลการขับขี่ TFT ขนาด 7 นิ้ว สำหรับแสดงผลการทำงานของระบบไฮบริด, เครื่องเสียงหน้าจอสัมผัส Advanced Touch ขนาด 7 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay
สิ่งที่เขามีดีกว่าหลัก ๆ คือ เบรคมือไฟฟ้าพร้อมระบบ Auto Brake Hold เพิ่มแอร์หลัง ซึ่งถือว่าถูกใจมาก ๆ เพราะ Eco Car คันอื่น ๆ เขายังไม่มีกัน
ปลอดภัยมั่นใจกว่า
นอกจากนี้ยังเป็นเพียงรุ่นเดียวในตระกูล City ที่มีการใส่ Honda Sensing (ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง) ประกอบไปด้วย
- ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน
- ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ
- ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch)
และสิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ คือ Honda City e:HEV ใช้เป็นดิสก์เบรกทั้งล้อหน้า-หลัง ในขณะที่ City ธรรมดาเบรกหลังยังเป็นดรัมเบรกอยู่
หากคุณออกต่างจังหวัดบ่อย หรือต้องการความประหยัดและปลอดภัย Honda City e:HEV ถือว่าครบเครื่องมาก แต่ก็มีราคาอยู่ที่ 839,000 บาท แพงกว่าตัวปกติ 100,000 บาท แต่แลกมาด้วยความปลอดภัยและประหยัดค่าน้ำมันไปได้เล็กน้อยก็ถือว่าดีครับ
2021 Honda City เทอร์โบก็ดี e:HEV ห่างกัน 100,000 บาทต่างกันเท่าไร
หากมองการซื้อรถยนต์แล้ว หลายคนมักจะเล็งไปที่การซื้อตัวท้อป ที่แพงที่สุดแต่ก็ได้ออพชั่นดี ๆ เยอะสุด ช่วงนี้ที่เป็นที่นิยมกันคือ 2021 Honda City (ฮอนด้า ซิตี้) ที่ได้รับการปรับโฉมทั้งคัน เพิ่มออพชั่น อัดเทอร์โบเข้าไปและเขาก็ยังมีพี่น้องที่แพงกว่า แต่ปลอดภัยและประหยัดกว่าคือ 2021 Honda City e:HEV
2021 Honda City ได้เปิดตัวเครื่องยนต์ใหม่ในรุ่น e:HEV ใช้ระบบไฮบริด และตัวถังใหม่แบบ Hatchback ในงาน Thailand International Motor Expo 2020 เสริมทัพรุ่น 1.0 Turbo Sedan เดิม
ด้วยการเปิดตัวรุ่นใหม่นี้ เครื่องยนต์จึงมีให้เลือก 2 แบบ คือ 1.0 Turbo 122 แรงม้า และ 1.5 Hybrid 126 แรงม้า ตัวถังมีแบบ Sedan และ Hatchback ให้เลือก โดยรุ่นย่อยนั้นมีอยู่ 4 รุ่นย่อย ตั้งแต่ S V SV ถึง RS ราคาอยู่ที่ 579,000 บาท ถึง 839,000 บาท
รุ่นย่อยและราคา Honda City
2020 1.0 s THB 579,500
2020 1.0V THB 609,000
2020 1.0sv THB 665,000
2020 1.0 rs THB 739,000
2021 e:HEV RS THB 839,000