เฉลิมชัย รถบ้าน

ที่สุดด้านคุณภาพและบริการ ต้องเฉลิมชัย รถบ้าน
โทร : 096-242-8639 เปิดทำการทุกวัน
110/4 หมู่ 1 ต.หนองยาว อ.เมือง จ.สระบุรี

ข่าวสารยานยนต์

จุดควรระวัง!!! ที่คาดไม่ถึง ควรทำความสะอาด ปราศจากเชื้อโรค

❗️จุดควรระวัง!!! ที่คาดไม่ถึง ควรทำความสะอาด ปราศจากเชื้อโรค

🔑#กุญแจรีโมท
เป็นสิ่งที่เราต้องสัมผัสและพกติดตัวทุกครั้งที่เดินทาง จึงมีโอกาสที่มือของเราไปสัมผัสเชื้อโรคแล้วมาจับกุญแจรถ ทำความสะอาดง่ายๆ เพียงนำผ้าหรือสำลีชุบแอลกอฮอล์มาเช็ดให้ทั่วทุกซอกมุม

🚗#มือเปิดประตู
เพราะเราไม่รู้เลยว่าตอนที่เราจอดรถทิ้งไว้อาจมีคนอื่นมาจับหรือนกมาถ่ายทิ้งไว้ นอกจากมือเปิดประตูด้านนอกแล้ว มือเปิดประตูด้านในรถก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะคุณสุภาพสตรีในกรุงเทพที่ต้องฝ่ารถติด และแข่งกับเวลาอยู่เสมอ จนต้องรับประทานอาหารหรือแต่งหน้าในรถ ทำให้มีโอกาสสัมผัสเชื้อโรคเข้าร่างกายได้ง่าย ในช่วงนี้จึงอยากแนะนำให้ล้างรถและเช็ดทำความสะอาดกันถี่มากขึ้นค่ะ

🚙#พวงมาลัย
เป็นส่วนที่มือเราทั้งสองข้างต้องสัมผัสอยู่ตลอดเวลา จึงมีโอกาสที่มือเราสัมผัสสิ่งสกปรกจากข้างนอกเข้ามาในรถ รวมไปถึงละอองจากการไอจาม ผสมกับเหงื่อจากมือทำให้เกิดการสะสมของเชื้อโรค ควรเช็ดทำความสะอาดเป็นประจำ

🕹#หัวเกียร์
เกียร์เป็นสิ่งที่เราต้องสัมผัสและเลื่อนอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะช่วงที่การจราจรติดขัด จึงอาจเกิดการส่งต่อของเชื้อโรคได้ อาทิ เดียวมือเราไปจับพวงมาลัย เดียวจับเกียร์ เดียวเปิดแอร์ เดียวเปิดวิทยุ ฯลฯ จึงหมั่นทำความสะอาดเช่นกัน

🎮#สวิตช์ควบคุม
ไม่ว่าจะเป็นสวิตช์ไฟเลี้ยว สวิตช์แอร์ หน้าจอวิทยุ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ต้องใช้มือสัมผัสบ่อยครั้ง ควรเช็ดทำความสะอาดเป็นประจำ

💺#เบาะนั่ง
นอกจากต้องทำความสะอาดบริเวณตัวเบาะ และจุดที่ต้องสัมผัสกับร่างกายแล้ว เวลาทำความสะอาดต้องปรับเบาะให้เอียงลงมาราบสุดเพราะจะมีเศษฝุ่นละออง และสิ่งสกปรก ชอบลงไปอยู่ตามซอก อย่าลืมทำความสะอาดบริเวณที่ปรับระดับ และที่เลื่อนเบาะด้วยนะคะ

🥾#พรมรองพื้น
รองเท้าของเราต้องย่ำผ่านสิ่งสกปรกมามากมายก่อนที่จะมาขึ้นรถ พรมรองพื้นนอกจากจะช่วยดักฝุ่นแล้ว ยังมีโอกาสที่เชื้อโรคเข้ามาสะสมได้ตลอดเวลา แค่การดูดฝุ่นคงไม่เพียงพอ ถึงเวลาที่ต้องนำออกมาซักทำความสะอาดด้วยแล้วค่ะ

แหล่งที่มา: https://www.toyotathajean.co.th/2020/04/24/จุดควรระวัง-ที่คาดไม่ถ/

รถเล็กรุ่นท็อป” กับ “รถใหญ่รุ่นล่าง” เลือกตัวไหนดี?

🤔“รถเล็กรุ่นท็อป” กับ “รถใหญ่รุ่นล่าง” เลือกตัวไหนดี?

รถแต่ละรุ่นนั้นมีข้อดีแตกต่างกัน เวลาจะซื้อรถหลายคนคงคิดไม่ตก ว่าจะเอารถรุ่นไหนดี รถใหญ่รุ่นล่าง หรือว่า รถเล็กรุ่นท็อป เลือกไม่ถูกกันเลย วันนี้แอดมินมีคำแนะนำดีๆ มาช่วยในการตัดสินใจค่ะ

• จำนวนผู้โดยสารและสัมภาระ
การถอยรถใหม่ควรคำนึงถึงลักษณะการใช้งานด้วยว่า จำนวนผู้โดยสารที่ร่วมเดินทางและสัมภาระที่ต้องนำไปด้วยเป็นประจำมากน้อยเพียงใด ถ้าเน้นใช้งานในครอบครัวที่ต้องเดินทาง 4-5 คนเป็นประจำทุกสัปดาห์หรือมีการบรรทุกสัมภาระที่มีจำนวนมากๆ การเลือกรถที่มีขนาดใหญ่ก็จะสามารถตอบสนองความต้องการได้มากกว่า แต่หากใช้งานเพียง 1-2 คน อีกทั้งสัมภาระไม่มากแล้วล่ะก็ รถยนต์ขนาดเล็กจะช่วยให้เวลาขับคล่องตัวกว่า

• รูปแบบการใช้งาน
หากต้องใช้งานขับทางไกลอยู่เป็นประจำรถยนต์ที่มีขนาดใหญ่จะช่วยให้การเดินทางสะดวกสบาย มีสมรรถนะการขับที่ดีและมีความทนทาน ยิ่งถ้าต้องวิ่งบนเส้นทางที่ขรุขระเป็นประจำ แต่ถ้าเน้นใช้งานในเมืองรถที่มีขนาดเล็กจะช่วยให้คล่องตัว โดยเฉพาะความฉับไวในการเปลี่ยนเลน ความง่ายในการกะระยะ รวมถึงการหาที่จอดรถ

• ออพชั่นเหมาะสมกับการใช้งาน
หลายคนคงเคยได้ยินประโยคประมาณว่า “ถ้าราคาตัวท็อปจะแพงขนาดนี้ หันไปเล่นรุ่นใหญ่แทนดีกว่า” จริงอยู่ที่การหันไปเลือกรถยนต์รุ่นใหญ่กว่าอาจดูคุ้มค่ากว่า แต่ในความเป็นจริงนั้น แม้ว่าจะเป็นรถรุ่นใหญ่แต่ตัวโลว์ ก็อาจติดตั้งอุปกรณ์มาตรฐานมาให้น้อยกว่ารุ่นเล็กแต่ตัวท็อป

• ค่าบำรุงรักษา
รถยนต์ที่มีขนาดใหญ่กว่าก็จะมีค่าบำรุงรักษาที่สูงกว่า แม้ว่าจะเป็นอะไหล่แบบเดียวกัน หากไม่มีความจำเป็นต้องซื้อรถขนาดใหญ่ การเลือกซื้อรถรุ่นเล็กกว่า จะช่วยให้ประหยัดได้

🌟ดังนั้น​ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ จึงควรวัดกันที่ความเหมาะสมในการใช้งานของเราเป็นหลักค่ะ

แหล่งที่มา: https://www.toyotathajean.co.th/2020/03/16/รถเล็กรุ่นท็อป-กับ-รถ/

8 พฤติกรรมที่ไม่ควรทำระหว่างอยู่บนรถ

รับประทานอาหาร

  • ชั่วโมงเร่งรีบการกินอาหารบนรถถือเป็นทางเลือกสะดวกสุด แต่นี่อาจจะเป็นสิ่งที่อันตรายด้วยเช่นกัน ซึ่งไม่เหมาะสมทั้งคนขับและผู้โดยสารหากกินไปขับรถไปอาจจะทำให้ไม่มีสมาธิในการขับรถ ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุได้ ส่วนผู้โดยสารหากนั่งกินๆ อยู่แล้วเกิดอุบัติเหตุอาหารอาจจะหกเลอะเทอะหรือได้รับบาดเจ็บ ทางที่ดีควรจอดรถแล้วกินให้เรียบร้อยหรือแวะร้านอาหารเพื่อความปลอดภัยค่ะ

ดูหนัง

  • เมื่อเปิดดูหนังสมาธิก็อาจจะไปโฟกัสอยู่ตรงนั้นเลยทำให้ไม่สนใจเส้นทางว่าเรากำลังไปไหนโดยเฉพาะผู้ที่โดยสารด้วยรถสาธารณะอาจจะทำให้เลยสถานที่ที่จะลงได้ส่วนคนขับรถยิ่งเป็นข้อห้ามอันดับต้นๆ ที่ไม่ควรทำเช่นกันค่ะ

แต่งหน้า

  • กรณีนี้ผู้หญิงหลายคงจะทำเป็นประจำโดยอาศัยช่วงรถติดแต่นี่เป็นสิ่งที่อันตรายมากๆ เพราะการแต่งหน้าแต่ละครั้งค่อนข้างใช้สมาธิและความละเอียดสูงไม่ว่าจะทั้งคนขับหรือผู้โดยสารที่นั่งมาด้วยขนาดผู้เขียนเองก็ยังต้องตั้งใจเลยกว่าจะเขียนตาได้แต่ละข้างต้องบรรจงสุดๆ เรียกว่าต้องใช้ทักษะขั้นสูงเลยหากเกิดอุบัติเหตุนอกจากจะเลอะเทอะแล้วสิ่งที่ตามมาอาจจะอาจจะทำให้เราเจ็บตัวได้

คุยโทรศัพท์

  • รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามรณรงค์อย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับการงดคุยโทรศัพท์ระหว่างขับรถ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ แต่ไม่ใช่แค่คนขับเท่านั้นเพราะผู้โดยสารควรงดคุยโทรศัพท์ระหว่างนั่งรถเช่นกัน เนื่องจากการคุยโทรศัพท์เสียงดังอาจจะรบกวนสมาธิคนขับรถได้ ผู้เขียนเคยนั่งรถตู้โดยสารพบว่าบางคันเขียนป้ายติดอย่างชัดเจนว่าห้ามคุยโทรศัพท์ ทำให้บรรยากาศในรถเงียบสงบจริงๆ ที่สำคัญยังป้องกันไม่ให้คนอื่นทราบเรื่องที่เรากำลังคุยอยู่กับปลายสายด้วยนะคะ ^^

สูบบุหรี่

  • ถ้าไปต่างประเทศ อย่างญี่ปุ่นจะเห็นว่าที่นั่นมีพื้นที่สำหรับสูบบุหรี่โดยเฉพาะ แม้ว่าประเทศไทยมีอิสระในการสูบบุหรี่ แต่ในรถก็ไม่ควรอย่างยิ่ง ทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร แม้ว่าจะเปิดกระจกแล้วพ่นควันออกมานอกรถ แต่บางครั้งควันบุหรี่อาจจะลอยเข้าไปยังรถคันอื่นได้ ผู้เขียนเคยเจอคนเขี่ยก้นบุหรี่ออกมานอกรถด้วย แล้วเกิดประกายไฟ เหตุการณ์นี้อาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ อยากให้อดใจแล้วหยุดสูบบุหรี่ข้างนอกดีกว่าค่ะ

เล่นเกมส์

  • บ่อยครั้งที่รถติดแล้วอยากจะหาอะไรแก้เบื่อ การเล่นเกมส์อาจจะช่วยคุณได้ แต่…ไม่ควรเล่นขณะขับรถเพราะว่าอาจจะทำให้คุณจดจ่ออยู่กับเกมส์มากเกินไป แทนที่จะสนใจถนน ส่วนผู้โดยสารหากสนใจกับเกมส์ อาจจะทำให้ลืมว่าต้องลงป้ายไหน ส่งผลให้เสียเวลาไปอีก

ยกเท้าวางหน้าคอนโซลรถ

  • หลายคนคงอยากใช้ชีวิตให้เหมือนอยู่บ้าน เลยยกเท้าขึ้นมาวางหน้าคอนโซลรถ ยืดแข้งยืดขาชิวๆ ไป แต่พฤติกรรมแบบนี้ค่อนข้างอันตรายอย่างมาก หากเกิดอุบัติเหตุอาจจะทำให้เราได้รับบาดเจ็บหนักกว่าคนอื่น เพราะอยู่ในท่านั่งที่ผิด อาจจะลองใช้วิธีเป็นปรับเบาะให้เหมาะกับตัวเราดู หรือแวะพักตามจุดจอดพักรถอาจจะช่วยคุณได้

นอนหลับ

  • สำหรับคนขับคงไม่เหมาะอย่างมากถ้านอนหลับแล้วขับรถ หรือง่วงแล้วขับ เพราะนั่นจะทำให้คุณเกิดอุบัติเหตุได้อย่างแน่นอน ถ้าง่วงมากๆ ขอให้แวะจุดพักรถดีกว่าเพื่อความปลอดภัย ส่วนผู้โดยสารหากนั่งทางไกลสามารถนอนหลับได้เพื่อเก็บแรง แต่กรณีเดินทางใกล้ๆ อย่าหลับลึกนะคะเพราะอาจจะทำให้คุณเลยป้ายได้ เหมือนอย่างผู้เขียนเองเกิดขึ้นบ่อยมาก ^^

พฤติกรรมทั้งหมดอาจจะเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะคอยเตือนสติให้ทุกคนระมัดระวังมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ ถ้าหากทุกคนไม่ประมาททุกสิ่งที่คาดไม่ถึงก็จะไม่เกิดขึ้นนั่นเอง

แหล่งที่มา: https://www.mangozero.com/8-do-not-on-car/

ความเชื่อผิดๆ ที่คนใช้รถมักได้ยินบ่อยๆ

เรามักจะได้ยินเรื่องการดูแลรถจากหลายที่ บ้างก็เข้าไปหาข้อมูลในโลกออนไลน์ เรื่องจริงที่ใช้ได้ก็มีมากมายแต่เรื่องผิดๆ ก็มีไม่น้อยเช่นกัน เรามาดูกันว่ามีเรื่องอะไรที่เข้าใจผิดบ้างจะได้ดูแลรถกันแบบไม่ต้องกังวล

ยกก้านปัดน้ำฝนขึ้นเวลาจอดรถตากแดด

เรื่องนี้ไม่จำเป็นเลย ไม่ว่าจะยกหรือไม่ยกก้านปัดน้ำฝน อายุการใช้งานของยางใบปัดจะอยู่ไม่เกิน 1 ปีเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ส่งผลเสียให้สปริงของก้านปัดล้า ซึ่งราคาเปลี่ยนก็มีมูลค่าสูงกว่ายางใบปัดน้ำฝนแน่นอน

ขับทางไกลยิ่งขับช้ายิ่งประหยัด

ในเรื่องการประหยัดน้ำมันขณะเดินทางไกลไม่จำเป็นเป็นต้องขับช้า เพราะยิ่งขับช้าเท่าไหร่ระยะเวลาในการเดินทางยิ่งมากขึ้นเท่านั้น แถมไม่ช่วยประหยัดน้ำมันอีกด้วยเพราะกำลังจากเครื่องยนต์ไม่ได้ถูกตัดต่อกำลังให้อยู่ในตำแหน่งเกียร์สูงสุด ในการขับรถทางไกลเราควรดูรอบเครื่องยนต์กับความเร็วให้สัมพันธ์กัน ซึ่งรอบเครื่องยนต์ที่สัมพันธ์จะอยู่ที่ประมาณ 2000 รอบ/นาที สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลที่มีเทอโบแปลผันรอบเครื่องยนต์ที่สัมพันธ์จะอยู่ที่ประมาณ 1800 รอบ/นาที ซึ่งสามารถทำความเร็วได้ประมาณ 100-110 กม./ชม. เพียงเท่านี้เราก็สามารถเดินทางไกลได้อย่างประหยัดและได้เวลาในการเดินทางที่กระชับลงอีกด้วย

เคลือบแก้วแล้วสามารถป้องกันเศษหินหรือการกระแทกได้

ในความเป็นจริง คุณสมบัติของการเคลือบแก้ว คือ ปกป้องสีรถจากมลภาวะต่างๆ เช่น ฝนกัดชั้นสีผิวรถ รอยขนแมว แสงยูวี รวมถึงคราบขี้นก ยางไม้ หรือยางมะตอย และให้ความเงางามสดใสสูงกว่าการเคลือบสีระยะสั้น แต่ไม่สามารถป้องกันสะเก็ดหินหรือกิ่งไม้เหมือนการติดฟิล์มได้

เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉิน (Hazard Light) เมื่อข้ามแยกที่มีไม่สัญญาณไฟหรือไฟชำรุด

เรื่องนี้ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะถ้าเราเปิดไฟฉุกเฉินแน่นอนว่าฝั่งตรงข้ามหรือด้านท้ายอาจมองเห็น แต่ในทางกลับกันรถที่อยู่ในฝั่งซ้ายหรือขวา จะเห็นสัญญาณไฟเลี้ยวเพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น อาจทำให้เกิดการเข้าใจผิดและเกิดอุบัติเหตุได้

เติมลมยางแข็งทำให้ยางระเบิดได้

เรื่องของลมยางต้องบอกก่อนเลยว่าเราสามารถเติมให้แข็งกว่าที่ตัวรถกำหนดได้ไม่ทำให้ยางระเบิดแน่นอน แต่ก็จะมีข้อเสียคือทำให้ขับแล้วรู้สึกกระด้าง และลดการเกาะถนนเนื่องจากแก้มยางยกตัวขึ้น แต่ถ้าเราเติมลมยางอ่อนเกินไปล่ะ…อันนี้บอกเลยว่าเสี่ยงมากกว่าเพราะถ้าลมอ่อนแก้มยางจะย้วยและยืดยุบตลอดเวลาและร้อนจนอาจระเบิด แถมยังทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าปกติ ในการเดินทางไกลเราควรเติมลมยางให้มากกว่าที่คู่มือกำนดไว้อย่างน้อย 2 ปอนด์ เพื่อป้องกันลมยางหานเนื่องจากความร้อน

แหล่งที่มา: https://www.grandprix.co.th/ความเชื่อผิดๆ/

น้ำมันรั่วใต้รถ สัญญาณร้ายเตือนว่ารถคุณเริ่มมีปัญหา

น้ำมันรั่วใต้รถ สัญญาณร้ายเตือนว่ารถคุณเริ่มมีปัญหา

รอยน้ำมันหยดที่พื้นใต้ท้องรถ เป็นสัญญาณเตือนว่าขณะนี้ปัญหาได้มาเยือนรถยนต์ที่เพื่อนๆ รัก ซึ่งมักเกิดขึ้นกับรถที่มีอายุการใช้งานที่นาน ทำให้ขอบยางต่างๆ เกิดการเสื่อมสภาพ หรืออาจมาจากรถเคยผ่านอุบัติเหตุชนอย่างรุนแรง ทำให้มีน้ำมันรั่วซึมออกมาได้ อาการน้ำมันรั่วร้ายแรงต่อรถแค่ไหน และเราจะรู้ได้อย่างไรว่าน้ำมันที่รั่วคือน้ำมันอะไร เรามีคำตอบให้ค่ะ

การสังเกตว่าน้ำมันที่รั่วคือน้ำมันที่มาจากส่วนไหนของรถ ให้ลองก้มดูว่าตำแหน่งที่รั่วมาจากส่วนไหน หากรอยรั่วด้านขวาให้สันนิษฐานก่อนว่าจะเป็นน้ำมันเครื่อง หากเป็นทางด้านซ้ายให้สันนิษฐานรั่วจากระบบส่งกำลังหรือชุดเกียร์ หรือให้ลองสังเกตสีของน้ำมันที่หยดลงพื้น โดยสีจะเป็นตัวบ่งบอกถึงตำแหน่งได้ดีว่ารั่วมาจากจุดไหนของรถ โดยสีของน้ำมันมีดังนี้

1. รอยน้ำมันรั่ว สีใสหรือขุ่นดำ น่าจะเป็นน้ำมันเครื่องรั่ว
2. รอยน้ำมันรั่ว สีแดง เป็นน้ำมันเกียร์อัตโนมัติ
3. รอยน้ำมันรั่ว สีใสหรือขุ่นดำและมีความเหนียวหนืด เป็นน้ำมันเกียร์ธรรมดา
4. รอยน้ำมันรั่ว สีใสหรือขุ่นดำและมีความเหนียวหนืดมาก เป็นน้ำมันเฟืองท้าย

หากพบว่ามีรอยน้ำมันรั่วตามพื้นในตำแหน่งที่รถจอด ควรรีบนำรถไปให้ช่างตรวจสอบ เพราะน้ำมันเหล่านี้ช่วยในการหล่อลื่นของชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ ของรถ หากน้ำมันเหล่านี้เกิดรั่วนั่นหมายถึงการทำงานของอะไหล่ในส่วนนั้นทำได้ไม่เต็มที่ และจะเกิดปัญหาการชำรุดเสียหายตามมา ฉะนั้นทุกครั้งก่อนจะขับรถลองก้มดูสักนิดว่ามีน้ำมันรั่วใต้ท้องรถเพื่อนๆ หรือไม่นะคะ

10 ข้อที่ควรทำเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน มีอะไรบ้างมาดูกัน

10 ข้อที่ควรทำเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน มีอะไรบ้างมาดูกัน

เมื่อเกิดอุบัติเหตุควรตั้งสติให้ดีอย่าตกใจ

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ในวันนี้ทางทีมงานจะพาเพื่อนๆไปพบกับเรื่องของ 10 ข้อที่ควรรู้เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชน ว่าต้องควรปฎิบัติอย่างไรซึ่งหลายๆท่านอาจจะยังไม่เคยทราบมาก่อน และหากมีการปฎิบัติที่ผิดขั้นก็อาจจะมีผลกระทบที่ไม่คาดคิดตามมาได้เช่นกัน เดี๋ยวเราไปชมกันเลยครับกับเกร็ดความรู้เกี่ยวกับรถยนต์ในวันนี้

เมื่อเกิดอุบัติเหตไม่ควรเคลื่อนย้ายรถออกจากที่เกิดเหตุจนว่าจะทราบฝ่ายผิด

          เรื่องของ 10 ข้อที่ควรทำเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนนั้นถือว่า มีประโยชน์อย่างมากในการทำตาม เพราะถ้าหากมีการปฎิบัติที่ไม่ถูกต้องก็อาจจะส่งผลตามมาได้เช่นกัน ซึ่งเรื่องของ 10 ข้อที่ควรทำเมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนมีดังนี้

1.ควรหยุดรถทันที

          ควรทำการหยุดรถทันทีเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นไม่ว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยก็ตาม และไม่ควรเคลื่อนย้ายรถหากว่ายังไม่ได้มีการตกลงกันในเรื่องอุบัติเหตุว่าใครเป็นผู้ที่ผิด ทางทีดีควรรอจนกว่าจะมีเจ้าหน้าที่มาตีเส้นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น แต่ถ้าหากเกิดอุบัติเหตุในที่เปลี่ยวก็ควรที่จะเลื่อนรถไปจอดในที่ปลอดภัยเพื่อป้องกันการถูกจี้ปล้นในที่เปลี่ยว 

2.อย่าพูดขอโทษ

          เรื่องของการพูดขอโทษเมื่อเกิดอุบัติเหตุถือว่าเป็นสิ่งที่ดีแต่การพูดขอโทษในบางครั้งอาจจะเป็นการยอมรับว่าคุณได้เป็นฝ่ายกระทำผิด ซึ่งอาจจะทำให้เหตุการณ์นั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง 

3.ให้ข้อมูลที่ถูกต้อง

          เมื่อเกิดอุบัติเหตุควรให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณให้ละเอียด แก่ประกันภัยของคู่กรณีหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจ

4.ขอข้อมูล

           หลังจากที่เราได้ให้ข้อมูลดังกล่าว ไปแล้วเราก็ควรข้อข้อมูลรถคู่กรณีด้วยเช่นกัน แต่ถ้าหากคู่กรณีไม่ให้ข้อมูล ก็ควรจดเลขทะเบียนและรูปพรรณของรถเอาไว้

5.แจ้งตำรวจ

          เมื่อเกิดอุบัติเหตุไม่ว่าจะเล็กหรือน้อย ก็ตามควรที่จะแจ้งตำรวจทุกครั้งหากเกิด อีกฝ่ายนึงไปแจ้งความภายหลังคุณอาจจะกลายเป็นผู้ที่หลบหนีได้ จะทำให้เป้นฝ่ายผิดทุกกรณี

6.หาพยาน

          ซึ่งพยานนั้นสามารถหาได้จากบริเวณดดยรอบที่เกิดเหตุ หากเขายินยอมเป็นพยานก็ควร ขอ ชื่อ-ที่อยู่ไว้เพื่อทำการติดต่อ

7.ไปโรงพยาบาล

          หากสงสัยว่าเกิดอาการบาดเจ็บ ควรไปหาหมอเพื่อทำการตรวจร่างกาย แต่ถ้าหากปล่อยทิ้งไว้นานจะทำให้การเรียกร้องค่าเสียหายนั้นยากขึ้น

8.ต้องรีบแจ้งความ

          เมื่อเกิดอุบัติเหตุจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตต้องรีบแจ้งความทันที เพราะบริษัทประกันภัยจะไม่มีการับใบแจ้งความย้อนหลัง

9.ตกลงเรื่องค่าเสียหายให้ดี

          เมื่อเจ้าหน้าที่ประกันภัยมาถึงที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่จะแนะนำคุณในเรื่องของค่าเสียหายว่าจะให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้ชดใช้หรือจะรับผิดชอบเองเพราะในบางกรณีนั้น ที่ให้บริษัทประกันภัยเป้นผู้ชดใช้อาจจะสงผลให้ค่าเบี้ยประกันเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของบริษัทประกันภัย แต่ถ้าหากเป็นผู้ชดใช้เองจะทำให้เสียเงินน้อยกว่า ค่าเบี้ยประกันที่เพิ่มขึ้น

10.อย่ารีบรับข้อเสนอ

          เมื่อเกิดอุบัติเหตุ หากอีกฝ่ายเป็นผู้ยอมรับผิดอย่าพึ่งรีบรับขอสนอให้ทำการยอมความ เพราะถ้าหากเกิดบาดเจ็บแล้วต้องใช้ระยะเวลาในการรักษานาน จะทำให้เรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมได้ยาก

5 วิธีดูแลรถยนต์หลังเจอน้ำท่วม

ถึงหน้าฝนอีกแล้ว เรื่องที่น่ากังวลใจที่สุดก็คือเรื่องน้ำท่วม แล้วรถของเราที่จอดอยู่ถ้าเกิดฝนตกหนัก ฟ้ารั่วหนัก แล้วต้องเจอกับน้ำท่วม มีวิธีในการดูแลรักษารถหลังเจอน้ำท่วมอย่างไรบ้าง ลองดูครับ

สำหรับรถยนต์ที่เจอน้ำท่วมค่อนข้างสูงประมาณเกินครึ่งล้อ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น้ำจะทำความเสียหายให้กับระบบต่างๆในรถยนต์ได้ เมื่อจอดรถแล้วสิ่งที่ควรดู มีดังนี้

ประเมินระดับความสูงรถยนต์ และระดับน้ำที่ท่วม

ระดับน้ำที่ไม่เกิน 15 ซม.หรือไม่เกินครึ่งล้อ ถือว่าเป็นระดับที่สามารถไปได้ แต่หากจำเป็นต้องลุยน้ำท่วมเกินครึ่งล้อ ให้ปิดระบบเครื่องปรับอากาศในรถทั้งหมด ทิ้งระยะให้ห่างจากคันหน้า ใช้เกียร์ต่ำ และพยายามเร่งเครื่องไว้ตลอดทางที่ลุยน้ำเพื่อไม่ให้เครื่องยนต์ดับ แต่ถ้ามีทางหลีกเลี่ยง ไปทางอื่นดีกว่านะจ๊ะ

ตรวจเช็คน้ำมันเครื่อง

หากต้องลุยน้ำระดับครึ่งล้อ หรือสูงเกินครึ่งล้อ ควรตรวจเช็คน้ำมันเครื่องดูสักหน่อยว่ามีน้ำเข้าไปผสมอยู่หรือไม่ โดยการดึงที่ก้านวัดน้ำมันเครื่องมาตรวจสอบ หากน้ำเข้าเครื่องยนต์ สีของน้ำมันเครื่องจะกลายเป็นสีน้ำนม ให้รีบเปลี่ยนน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรองทันที

เช็คระบบเบรค

การลุยน้ำทำให้ผ้าเบรคเปียก และมีความชื้นทำให้จานเบรกเกิดสนิมได้ สามารถขจัดสนิมได้โดยการขัด หรือใช้น้ำยา ส่วนผ้าเบรกถ้าหากไม่ร่อนออกจากแผ่น ควรใช้ลมเป่าไล่ความชื้นให้แห้ง เพื่อความปลอดภัย

ตรวจสอบระบบไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์

การลุยน้ำอาจทำให้พัดลมหน้าเครื่อง ตีน้ำขึ้นสู่ห้องเครื่อง หรือซึมเข้าทางพื้นรถ ควรตรวจเช็คห้องเครื่อง และพื้นรถ เนื่องจากพื้นรถเป็นแหล่งรวมสายไฟฟ้า และกล่องควบคุม หากมีน้ำซึมเข้ามาควรไล่ความชื้นด้วยการเป่าลม หรือสเปรย์ไล่ความชื้น และทดสอบการใช้งานของอุปกรณ์ทั้งหมด

ตรวจสอบพื้นพรมของรถ

หากเปียกเล็กน้อยเป็นบางจุด ไล่ความชื้นด้วยการจอดตากแดด และเปิดประตูทั้ง 4 ด้านเพื่อระบายกลิ่น และความอับชื้น หากพรมเปียกทั้งหมด หรือน้ำเข้ารถควรถอดพรม และเบาะซักทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค ตาก หรืออบให้แห้ง เพื่อให้กลิ่นอับ และความสกปรกหายไป

ทั้งหมดนี้เป็นการแนำนำวิธีเช็ครถเบื้องต้น ถ้าไม่มั่นใจ ให้แจ้งศูนย์บริการหรือเรียกช่างมาดูจะได้แก้ไขอย่างถูกวิธี

รวมความเชื่อสุดแปลกเกี่ยวกับรถจากทุกมุมโลก

เมื่อมีโอกาสไปเที่ยวที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศ เราอาจพบความเชื่อและธรรมเนียมปฏิบัติที่แปลกและแตกต่างกัน เราจึงรวบรวมความเชื่อสุดแปลกเกี่ยวกับรถมาให้อ่านกันค่ะ

1. ประเทศไทย – กราบไหว้รถยนต์และมีเทวดาประจำรถ

คนไทยมีคติความเชื่อเกี่ยวกับพาหนะมาแต่โบราณ เนื่องจากเป็นยานพาหนะพาไปยังที่ต่าง ๆ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้น การ “ทำขวัญ” พาหนะจึงช่วยสร้างพลังและกำลังใจแก่เจ้าของ จึงมีการกราบไหว้รถยนต์ก่อนเดินทาง รวมไปจนถึงการมีเทวดาประจำรถ ไม่ว่าจะเป็น การเจิมรถ การไหว้แม่ย่านางประจำรถ หรือบูชาพระพุทธรูปไว้ในรถ แม้ดูไม่ใช่เรื่องแปลกของบ้านเรา แต่หลายชาติก็อาจเกิดความงุนงงที่บ้านเราต่างพากันกราบไหว้สิ่งของทั่วไป

2. ประเทศซาอุดิอาระเบีย – ผู้หญิงห้ามขับรถ

แม้ไม่มีข้อกฎหมายที่ระบุชัดเจนว่าห้ามผู้หญิงขับรถ แต่ด้วยความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรม ทำให้ทุกคนคิดว่าเป็นเรื่องอันตรายและผิดศีลธรรม และคนส่วนมากเชื่อว่าหากผู้หญิงได้ขับรถแล้วอาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พวกเธอได้รับอิสระมากขึ้น

3. ประเทศโอมาน – เปิดบทสวดมนต์ให้รถยนต์ฟัง

อีกหนึ่งความเชื่อสุดประหลาดจากประเทศโอมานคือการเปิดเทปเสียงสวดมนต์จากคัมภีร์อัลกุรอ่านเป็นเวลา 1-2 อาทิตย์ หลังจากล้างรถใหม่ เพื่อปัดเป่ามารร้ายออกจากรถ และช่วยสร้างพลังและกำลังใจ

4. ประเทศจีน – เลขไม่มงคล

ถือเป็นหลักความเชื่อที่มีผลกับชาวไทยเชื้อสายจีนเช่นกันในเรื่องความเชื่อเลข 4 ถือเป็นเลขที่ไม่มงคล เพราะมีเสียงใกล้เคียงกับคำว่า “ซี้” ที่แปลว่าตายในภาษาจีนแต้จิ๋ว

5. ประเทศรัสเซีย – ห้ามผิวปากในรถ

แม้การผิวปากจะดูเป็นการแสดงออกถึงความอารมณ์ดี แต่ในทางกลับกัน หลายประเทศก็มีความเชื่อแปลก ๆ เกี่ยวกับการผิวปาก เช่น บ้านเราไม่ให้ผิวปากตอนกลางคืน เพราะเป็นการเรียกวิญญาณ เช่นเดียวกับประเทศรัสเซียที่ไม่ให้ผิวปากในรถ เพราะถือว่าจะทำให้เสียทรัพย์

6. ประเทศแถบยุโรป – ชอบป้ายทะเบียนที่มีเลข 7

ที่ชาวยุโรปมีความชื่นชอบเลข 7 เป็นพิเศษ เพราะเชื่อว่าเป็นเลขให้โชคลาภ ศักดิ์สิทธิ์ เดินทางปลอดภัย และมีอำนาจพิเศษ เช่นเดียวกับความเชื่อของชาวญี่ปุ่น ที่ถือว่าเลข 7 เป็นเลขมงคล เพราะประเทศญี่ปุ่นมีประเพณีกินสมุน ไพร 7 ชนิด เชื่อกันว่าทำให้สุขภาพดี

7. ประเทศรัสเซีย – ดอกไม้สีเหลือง

รัสเซียซึ่งเชื่อว่าดอกไม้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของการแยกทางกัน ความไม่ซื่อสัตย์ หรือความตาย ชาวรัสเซียจึงไม่นิยมนำดอกไม้สีเหลืองขึ้นรถ เพราะถือเป็นการทำให้เกิดอุบัติเหตุ หรือโชคไม่ดีในการขับขี่นั่นเอง

ความเชื่อเกี่ยวกับรถของคนไทย มีอะไรบ้าง

หากพูดถึงความเชื่อของคนไทย แน่นอนว่าหลายคนคงนึกถึงความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ทั้งสมัยโบราณมาจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึง ความเชื่อเกี่ยวกับรถของคนไทย ที่เริ่มมีบทบาทต่อชีวิตของคนไทยมากขึ้นเรื่อยๆ บ้างว่าทำแล้วส่งผลให้มีโชคลาภ และแคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายต่างๆ ความเชื่อเกี่ยวกับรถ ที่คนไทยหลายคนเชื่อกันว่ามีอะไรบ้าง

ความเชื่อเกี่ยวกับรถของคนไทย มีอะไรบ้าง

1.ฤกษ์ออกรถ

คนไทยส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับฤกษ์ออกรถค่อนข้างมาก เพราะเป็นวันแรกที่นำรถออกจากศูนย์มาขับใช้งาน ซึ่งการดูฤกษ์ออกรถนั้นก็เป็นความเชื่อเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่รถยนต์และผู้ขับขี่ หลายคนที่กำลังจะออกรถ จึงมักหาวันและเวลาที่เป็นฤกษ์ดีในการออกรถนั่นเอง

2. การเจิมรถ

นอกจากฤกษ์ออกรถแล้ว หลายคนก็นิยมนำรถยนต์ไปเจิม ไม่ว่าจะเจิมรถด้วยพระอาจารย์ที่เคารพนับถือ หรือแม้แต่บิดามารดา ญาติผู้ใหญ่ในบ้านก็ตาม แต่ส่วนใหญ่นิยมให้พระเป็นผู้เจิมรถให้ เพราะมีความเชื่อว่าหากให้พระสงฆ์ทำพิธีเจิมรถให้ จะเป็นเหมือนการให้พร ให้มีสิ่งดีๆ เข้ามา มีโชค มีลาภ ขับรถไปไหนก็แคล้วคลาดปลอดภัย

3. ป้ายทะเบียนรถยนต์

ปัจจุบัน ศาสตร์ของตัวเลขถือว่าเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตคนเราเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นหมายเลขโทรศัพท์ รวมไปถึง ป้ายทะเบียนรถยนต์ ที่มีการคำนวณผลรวมของตัวเลขให้ออกมาเป็นเลขมงคล หรือเลขที่มีความหมายในทิศทางที่ดี มีสิริมงคล โดยเป็นความเชื่อที่ว่า ตัวเลขป้ายทะเบียนรถยนต์เหล่านั้นจะส่งผลต่อโชคชะตาชีวิตของเจ้าของรถนั่นเอง

4. สีรถถูกโฉลก

หลายคนเลือกสีรถจากความชอบ แต่หลายคนก็เลือกสีรถที่ถูกโฉลกกับตัวเอง หรือถูกโฉลกกับวันเดือนปีเกิดของตัวเอง โดยมีความเชื่อที่ว่าสีรถถูกโฉลกจะเป็นพลังที่ช่วยดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาในชีวิต ทั้งโชคลาภ ความก้าวหน้า และช่วยเสริมดวงชะตาแก่เจ้าของรถ แต่หลายคนที่ไม่ได้ซื้อรถที่มีสีถูกโฉลก ก็นิยมนำสติ๊กเกอร์ที่เป็นประโยคบอกสีมาแปะบนรถ เพื่อเป็นแก้เคล็ดแทน เช่น รถคันนี้สีขาว เป็นต้น

5. พระตั้งหน้ารถ

ปิดท้ายกันที่ความเชื่อเรื่องการตั้งพระหน้ารถ หรือแขวนพระหน้ารถ ซึ่งหลายคนเชื่อว่า การวางพระตั้งหน้ารถนั้นจะทำให้คุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครอง และปกปักรักษาคนขับรถให้เดินทางแคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ การตั้งพระหน้ารถ หรือแขวนพระหน้ารถนั้น จึงเป็นเหมือนการสร้างความเชื่อมั่น ทำให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกอุ่นใจนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันก็มีทั้งพระพุทธรูปและเครื่องรางของขลังมากมายที่คนขับรถส่วนใหญ่นิยมบูชาไว้ติดรถ เช่น หลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงพ่อโสธร เป็นต้น

Cr. chobrod.com

เรื่องความเชื่อเป็นเรื่องส่วนบุคคล อย่างไรแล้วควรตั้งมั่นอยู่บนความไม่ประมาท ขับรถด้วยความระมัดระวัง และถ้าจะให้ดีมาสิแนะนำว่าควรทำประกันรถยนต์ไว้ด้วย เพื่อความอุ่นใจ หากเกิดอุบัติเหตุ หรือเหตุฉุกเฉินก็ยังคงได้รับความคุ้มครองจากประกันรถยนต์เป็นค่าชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อร่างกายและทรัพย์สินของคู่กรณีนั่นเอง

อายุยาง ดูตรงไหน จะรู้ได้อย่างไรว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางแล้ว?

อายุยาง ดูตรงไหน ?

ตัวเลขบนหน้ายาง ที่เราสังเกตเห็นบนหน้ายาง จะมีอยู่หลายชุด ซึ่งแต่ละชุดจะเป็นตัวเลขที่บอกข้อมูลให้เจ้าของรถเพื่อเป็นข้อสังเกต อายุยาง ว่าเมื่อไหร่ควรเปลี่ยนยาง อีกทั้งยังมีข้อจำกัดอะไรบ้าง

ชุดแรกจะเป็นตัวเลขที่ปรากฏอยู่บนยางที่บอกถึงอายุของยางรถยนต์ สามารถดูได้ที่ตัวเลขสี่หลักที่ประทับบนแก้มยาง โดยเลขสองตัวแรกบ่งบอกสัปดาห์ที่ผลิต ขณะที่ตัวเลขสองตัวหลังบอกปีทีผลิต

ถ้าดูจากภาพจะเห็นว่ายางเส้นนี้ผลิตในสัปดาห์ที่ 12 ปี ค.ศ. 2018 การเลือกใช้ยางหลายคนอาจะได้ข้อมูลมาว่าต้องเป็นยางที่เพิ่งผลิตออกมาใหม่ๆ จะดีที่สุด ซึ่งในทางเทคนิคยางที่ดีจะต้องใช้เวลาในการคงตัว (เซตตัว) โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 6-8 เดือน เพื่อความแข็งแรงในการใช้งาน แต่ผลจากการทดสอบคุณภาพยางจากได้ผลออกมาว่า ยางที่เพิ่งผลิตกับยางที่ผลิตไปแล้ว 1 – 2 ปี คุณภาพไม่แตกต่างกัน ขณะที่อายุใช้งานสูงสุดของยางไม่ควรเกิน 4 – 5 ปี (นับตั้งแต่เริ่มใช้งาน)

ตัวเลขอีกหนึ่งชุดคือตัวเลขที่บอกถึง สัญลักษณ์ความเร็ว, ดัชนีน้ำหนักบรรทุกสูงสุด, เส้นผ่าศูนย์กลางของล้อกระทะ, ยางมีโครงสร้างแบบเรเดียล, ความสูงของแก้มยาง (คิดเป็น % ของหน้ายาง), ความกว้างหน้ายาง (มิลลิเมตร)

เมื่อไหร่ควรเปลี่ยนยางรถยนต์

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยนยางรถยนต์กันแล้ว มีสัญญาณอะไรบอกบ้าง Autospinn นำเสนอเคล็ดลับ 5 ข้อให้ผู้ขับขี่ได้ตรวจสอบสภาพยางอย่างรวดเร็ว สามารถทำได้อย่างง่าย ๆ

1. ดูที่ตัวบอกสภาพดอกยาง

ยางรถยนต์ส่วนใหญ่มีตัวบอกสภาพดอกยางอยู่บริเวณหน้ายาง ถ้าตัวบอกสภาพดังกล่าวมีความหนาในระดับเดียวกับดอกยาง นั่นหมายความว่าถึงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนยางแล้วเพื่อความปลอดภัย ถ้ายางที่คุณใช้ไม่มีตัวบอกสภาพดอกยาง

อีกหนึ่งเคล็ดลับคือการใช้ไม้ขีดไฟทิ่มลงไปในร่องยาง ถ้าคุณเห็นหัวไม้ขีดสีแดง หมายถึงดอกยางเหลือน้อยเกินไปที่จะใช้งานได้ต่อไป ควรเปลี่ยนยาง 

2. แก้มยางแตกหรือแยกส่วน

ถึงแม้ว่าแก้มยางจะไม่ใช่ส่วนที่สัมผัสพื้นถนนโดยตรงเหมือนหน้ายาง แต่ถ้าแก้มยางมีรอยแตกอาจนำไปสู่ยางระเบิดหรือแตกขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงได้

3. ยางบวม

ยางบวมเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่อันตรายอย่างมาก การบวมของยางส่วนใหญ่เกิดขึ้นบริเวณแก้มยาง สาเหตุหลักมาจากการขับตกหลุมหรือเสียดสีอย่างรุนแรง รวมถึงข้อบกพร่องในกระบวนการผลิตซึ่งทำให้โครงสร้างยางไม่แข็งแรงในจุดที่เกิดการบวม

4. ตำแหน่งรั่วของยาง

เมื่อยางเกิดรั่ว หลายคนนิยมใช้วิธีปะยางแทนการเปลี่ยนยางทั้งเส้น เพราะประหยัดสตางค์ได้มากกว่า แต่ควรตระหนักว่าการปะยางควรทำในบริเวณที่รอยรั่วมีขนาดไม่เกิน 1 ใน 4 นิ้วและเกิดขึ้นบริเวณหน้ายางเท่านั้น (ตามภาพ) การปะยางไม่ควรทำบริเวณแก้มหรือขอบยางเพราะไม่มีประโยชน์อันใดและอาจเป็นอันตรายต่อไปในอีกไม่ช้า

สำหรับผู้ใช้รถที่ต้องการใช้ยางรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพการใช้งานได้ดี ปัจจุบันมีอยู่มากมายหลายยี่ห้อ ผู้ใช้รถสามารถเลือกยางที่เหมาะสมกับการใช้งานของรถมากที่สุด ที่สำคัญต้องมีราคาที่สมเหตุสมผล ประหยัดเงินกระเป๋า

check-credit