- อย่าขับรถประชิดคันหน้ามากเกินไป ควรเว้นระยะห่าง 2 ช่วงคันรถ
- อย่าขับรถตอนอ่อนเพลีย เจ็บปวด ง่วงนอน
- ขับรถตามกฎจราจร อย่าฝ่าฝืน มีมารยาทในการขับขี่
- เมาแล้วไม่ขับเด็ดขาด
- ห้ามเล่นโทรศัพท์มือถือระหว่างขับขี่
- ไม่เปลี่ยนเลนกะทันหัน
ข่าวสารยานยนต์
4 วิธีทำความสะอาดยางรถยนต์อย่างถูกต้อง
การทำความสะอาดตัวยางรถยนต์ ไม่ใช่แค่เพื่อ “ความสวยงาม” แต่ยังเป็นวิธีดูแลรถยนต์ที่ช่วยยืดอายุการใช้งานยางรถยนต์ได้อีกด้วย หลัก ๆ มีอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมให้พร้อม ดังนี้
- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดล้อและยางรถยนต์
- ผลิตภัณฑ์ปกป้องดูแลรักษายางรถเก๋งหรือยางรถกระบะ
- ถังน้ำสำหรับทำความสะอาด
- ผ้าเช็ดล้อ
- ฟองน้ำสำหรับเคลือบยางรถยนต์
หลังจากเตรียมอุปกรณ์สำหรับล้างยางรถยนต์เรียบร้อยแล้ว ถ้าอย่างนั้นเราไปล้างทำความสะอาดตาม 4 ขั้นตอนที่เรานำมาบอกต่อพร้อม ๆ กันเลย
1. เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม
หนึ่งในหัวใจสำคัญของการดูแลรถยนต์ที่ดีที่สุด คือ การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม มีคุณภาพ แถมยังสามารถดูแลยางรถยนต์ และชิ้นส่วนอื่น ๆ ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องเข้าคาร์แคร์
กรณีที่ไม่มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ปลอดภัย หรือเหมาะสมกับยางรถยนต์หรือไม่ แนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “ปลอดภัยกับล้อและยางทุกประเภท และไม่ทิ้งสารตกค้างบนล้อรถ” ที่สำคัญคือต้องมีเลขอย. สามารถตรวจสอบได้
2. การทำความสะอาดล้อและยาง
นอกจากล้อและยางรถยนต์จะสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ แล้ว ยังถือเป็นชิ้นส่วนที่สกปรกมากที่สุดอีกด้วย ทั้งคราบสกปรกจากฝุ่นเมื่อเบรค หรือสิ่งสกปรกตามท้องถนนอื่น ๆ แนะนำให้เริ่มต้นจากการ “เคลือบยางรถยนต์” ด้วยน้ำยาทำความสะอาด จากนั้นปล่อยทิ้งไว้ให้อยู่ตัว ประมาณ 5-10 นาที เพื่อทำลายคราบสกปรกต่าง ๆ เมื่อครบเวลาที่กำหนดให้ฉีดล้างด้วยน้ำสะอาด แต่ถ้าคราบฝังแน่นมาก ๆ ให้ใช้น้ำยาทำความสะอาดแบบเฉพาะ ก็จะช่วยให้ทำความสะอาดง่ายขึ้น โดยไม่เปลืองแรงมากจนเกินไป
3. เช็ดล้อและยาง
หลังจากทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว จากนั้นควรเช็ดล้อและยางให้แห้งสนิท ซึ่งควรเป็นผ้าคนละผืนที่ใช้เช็ดรถ เพราะถ้าหากใช้รวมกันผิวรถยนต์ของคุณ อาจเกิดรอยขนแมวไปจนถึงรอยข่วนลึกถึงชั้นสีได้
4. เคลือบตัวยางให้เงางาม
ขั้นตอนนี้เป็นไปเพื่อในเรื่องความสวยงามแล้ว หากต้องการให้ยางรถยนต์ของคุณเงางาม และดูใหม่อยู่เสมอ การ “เคลือบยางรถยนต์” เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี โดยน้ำยาเคลือบเป็นสารละลายด้วยน้ำ มีคุณสมบัติในการช่วยปกป้องยางให้แข็งแรง ทนทาน
วิธีง่าย ๆ คือ แค่หยดน้ำยาเคลือบยางดำลงบนฟองน้ำแล้วทาลงบนยาง เพียงไม่กี่นาทีตัวยางรถของคุณจะแห้งและเงาดูเหมือนกับยางใหม่ แต่ถ้าหากต้องการทาซ้ำอีกรอบ ควรรอให้ชั้นแรกแห้งสนิทดีก่อนแล้วจึงค่อยทาทับ ก็จะเงายิ่งกว่าเดิม
3 สิ่งต้องทำทันทีเมื่อรถหาย ประกันคุ้มครองสูงสุดเท่าไหร่?
รถหาย คุณต้องรับมืออย่างไร?
แน่นอนว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์รถหายหรือรถโดนขโมย การควบคุมสติอาจเป็นไปได้ยาก เพราะถือเป็นปัญหาใหญ่ที่หลายคนจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากตรงไหน แจ้งความหรือแจ้งประกันก่อนดี? ถ้าอย่างนั้นตามไปดูข้อมูลที่รู้ใจลิสต์มาให้เลยดีกว่า
1. แจ้งความรถหายทันทีทันใด
ทันทีที่แน่ใจแล้วว่าไม่ได้หลงลืมที่จอดรถ แต่รถยนต์คู่ใจหายไปจริง ๆ อันดับแรกให้แจ้งความรถหายให้ไวที่สุด แนะนำให้เดินทางไปแจ้งความรถหายที่สน.พื้นที่รับผิดชอบในเขตนั้น พร้อมกับให้ข้อมูลเกี่ยวกับรถอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นเลขทะเบียน สี รุ่น สถานที่และเวลาที่รถหาย รวมถึงสิ่งของมีค่าภายในรถทั้งหมด
2. แจ้งบริษัทประกัน
หากประกันภัยรถยนต์ที่ทำไว้ ให้ความคุ้มครองด้านประกันรถหาย อันดับต่อมาให้ทำการแจ้งไปยังบริษัทประกัน โดยจะต้องแจ้งทันที แจ้งให้ไวที่สุด พร้อมกับเตรียมหลักฐานต่าง ๆ ไปให้ครบ เช่น บันทึกประจำวัน (ใบแจ้งความรถหาย), กรมธรรม์ประกันภัย จากนั้นบริษัทฯ จะช่วยสืบตามหารถของคุณด้วยอีกแรง
3. แจ้งบริษัทไฟแนนซ์
หากรถยนต์ของคุณยังไม่ผ่อนไม่หมด แน่นอนว่าจะต้องแจ้งรถหายให้ไฟแนนซ์รับทราบด้วย เพราะอย่าลืมว่ารถยังคงเป็นชื่อของไฟแนนซ์อยู่ และเมื่อเคลมประกันรถหาย บริษัทไฟแนนซ์ก็จะเป็นผู้รับผลประโยชน์ฝ่ายแรก จากนั้นถึงจะนำเงินจากบริษัทประกันไปคำนวณกับยอดเงินที่คุณผ่อนรถไปแล้ว พร้อมกับสรุปผลว่าจะต้องผ่อนต่ออีกเท่าไหร่
ประกันคุ้มครองรถหายสูงสุดเท่าไหร่?
หากรถยนต์ของคุณทำประกันชั้น 1 เมื่อรถหายไม่สามารถตามกลับคืนมาได้ จะเคลมได้สูงสุด 80% ของราคารถยนต์ ที่ไม่ได้เต็ม 100% เป็นเพราะมี “ค่าเสื่อมรถและจำนวนปีที่ซื้อมา” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยทุนประกันจะถูกกำหนดจากราคารถยนต์ในวันที่ทำประกัน เช่น มูลค่ารถยนต์ ณ วันทำประกัน 650,000 บาท สามารถเคลมประกันได้ 520,000 บาท (คิดจาก 650,000 x 80%)
Cr.roojai
ในช่วงเศรษฐกิจแบบนี้ การจะซื้อ รถ ใหม่ทั้งที่ อาจจะต้องคิดให้รอบคอบ นอกเหนือจากปัจจัยการใช้งานที่เหมาะสมแล้ว ก็อาจจะต้องคำนึงถึงหากเมื่อต้องขายต่อเป็นรถมือสองแล้ว ราคาจะต้องไม่ตกด้วย
รถยอดนิยมในไทย ขายรถมือสอง ราคาไม่ตก
1. รถ Toyota Vios รุ่นปี 2019
ราคารถ Toyota Vios 2019
- ราคารถใหม่ป้ายแดง เริ่มต้นที่ 559,000 – 734,000 บาท
- ราคาขายต่อมือสอง (ในปัจจุบัน) 390,000 – 530,000 บาท
Toyota Vios ปี 2019 ที่มีการเพิ่มเติมออพชั่นในราคาค่าตัวสุดคุ้ม พร้อมกับการปรับรุ่นย่อยใหม่ มีทั้งหมด 3 รุ่น ได้แก่ Entry , MID และรุ่นท็อป High ที่มีการจัดเต็มอุปกรณ์เข้ามาอย่างครบครัน มาพร้อมสโลแกนใหม่ Toyota Vios Super Spec ครบเต็มคัน ทำให้คุ้มค่า คุ้มราคากับการใช้งาน อีกทั้งยังเป็นรถยนต์ Sub Compact พิกัดเครื่องยนต์ขนาด 1,500 ซีซี ที่พร้อมตอบโจทย์ทั้งการขับขี่ในเมืองและนอกเมือง ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้น ๆ ในการเลือกซื้อรถมือสองอีกด้วย
2. รถ Toyota Fortuner รุ่นปี 2020
ราคารถ Toyota Fortuner 2020
- ราคารถใหม่ป้ายแดง เริ่มต้นที่ 1,104,000 – 1,536,000 บาท
- ราคาขายต่อมือสอง (ในปัจจุบัน) 780,000 – 1,050,000 บาท
สำหรับรถยนต์ Toyota Fortuner ถือว่าเป็นรถยนต์ PPV อันดับหนึ่งยอดนิยมตลอดการของเมืองไทย ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูสวยดูดีมีระดับ และยังมาพร้อมกับออฟชั่นเสริมแบบครบครัน จุใจ มีเสน่ห์ที่หรูหรา แฝงไปด้วยความเท่ดุดันแต่สง่างาม เป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของรุ่นนี้และทำให้หลาย ๆ คนจำได้ง่าย จึงทำให้รถรุ่นนี้ไปต่อได้สบายๆ ราคาไม่ตกง่าย ๆ และยังเป็นที่นิยมในการซื้อขายด้วย
3. รถ Honda CR-V รุ่นปี 2018
ราคารถ Honda CR-V 2018
- ราคารถใหม่ป้ายแดง เริ่มต้นที่ 1,168,000 – 1,543,000 บาท
- ราคาขายต่อมือสอง (ในปัจจุบัน) 750,000 – 890,000 บาท
รถยนต์ SUV ขวัญใจมหาชน เน้นการออกแบบที่เน้นความหรูหราโฉบเฉี่ยว ไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ดีไซน์เท่ทันสมัย มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 5 Speed ที่เป็นระบบควบคุมอัจฉริยะที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีระบบอีโค แอสซิสต์ (Eco Assist) ซึ่งเด่นในด้านช่วยในการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังรองรับการใช้ E85 ได้อีกด้วย เรียกได้ว่าคุ้มค่าสุด ๆ และยังเหมาะสำหรับยุคนี้อีกด้วยค่ะ
4. รถ Honda Civic รุ่นปี 2018
ราคารถ Honda CR-V 2018
- ราคารถใหม่ป้ายแดง เริ่มต้นที่ 778,000 – 1,130,000 บาท
- ราคาขายต่อมือสอง (ในปัจจุบัน) 490,000 – 680,000 บาท
สำหรับ Honda รุ่นนี้มาให้มีความสะดุดตาเป็นพิเศษ และยังเป็นรถเก๋งซีดานรุ่นเรือธงจากฮอนด้าที่ได้ถูกปรับโฉมเสริมรูปลักษณ์ให้ดูสปอร์ตหรูหรามากยิ่งขึ้น ขณะที่ฟังก์ชั่นภายในก็ได้รับการอัพเกรดเทคโนโลยีสุดทันสมัยเข้าไปเสริมมากมาย อีกทั้งยังเพิ่มขุมพลังเครื่องยนต์ 1.5 VTEC Turbo ทำให้เร่งได้อย่างดีเยี่ยมไร้การสะดุด พร้อมระบบส่งกำลังแบบใหม่ล่าสุดด้วยระบบเกียร์ CV หากใครชอบเทคโนโลยีล้ำๆ Civic รุ่นนี้ถือว่าจัดเต็มทุกรูปแบบตรงทุกความต้องการของคุณอย่างแน่นอน
5. รถ กระบะ Isuzu D-Max รุ่นปี 2022
ราคารถ Isuzu D-Max 2022
- ราคารถใหม่ป้ายแดง เริ่มต้นที่ 469,000 – 599,000 บาท
- ราคาขายต่อมือสอง (ในปัจจุบัน) 430,000 – 480,000 บาท
สำหรับรถกระบะรุ่นยอดนิยมในไทยที่ทำตลาดมาถึง 3 เจเนอเรชั่นอย่าง Isuzu D-Max มีเครื่องยนต์ดีเซลหลากหลายความแรงให้เลือก หรือเน้นประหยัดน้ำมันก็ทำได้ดี พร้อมศูนย์บริการกับอะไหล่ที่แพร่หลาย หาได้ง่าย ซึ่งราคามือสองของ Isuzu D-Max เจนแรก ตัวถังที่นิยมซื้อใช้นั่นคือแบบ 4 ประตู ยังอยู่ในระดับเริ่มต้นที่ 2 แสนปลาย ๆ หากสภาพดี หากเป็นรุ่นยกสูงหรือขับเคลื่อน 4 ล้อ ก็มีราคาสูงขึ้นไปอีกประมาณ 50,000 บาท และยังคาอยู่ในระดับราคานี้มานานหลายปีแล้ว ทำให้การหาซื้อขายยังคงเป็นที่นิยมอยู่เรื่อย ๆ ในตลาดรถกระบะมือสอง
6. รถยอดนิยม Honda Jazz รุ่นปี 2019
ราคารถ Honda Jazz 2019
- ราคารถใหม่ป้ายแดง เริ่มต้นที่ 590,000 – 715,000 บาท
- ราคาขายต่อมือสอง (ในปัจจุบัน) 420,000 – 520,000 บาท
สำหรับจุดเด่นของ Honda Jazz ยอดนิยมคันนี้ที่ผู้ใช้ส่วนใหญ่มักจะให้คะแนนที่รูปโฉมอันสวยงามปราดเปรียวแล้ว รุ่นนี้ก็ยังมีจุดเด่นตรงที่ อัตตราเร่งที่ดี ช่วยเซฟเรื่องค่าน้ำมัน รวมไปถึงความอึด ทนทานในเรื่องของเครื่องยนต์ไซส์ 1.5L และยังสามารถขับขี่ได้คล่องตัว หาที่จอดง่าย เหมาะสำหรับการใช้งานในเมืองเป็นอย่างยิ่ง และยังสามารถพับเบาะหลังเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่ที่ยังคงเป็นจุดเด่นหลัก ๆ สำหรับผู้ใช้งานที่ต้องขนของเป็นประจำด้วย
7. รถยนต์ Suzuki Swift รุ่นปี 2019
ราคารถ Suzuki Swift 2019
- ราคารถใหม่ป้ายแดง เริ่มต้นที่ 429,000 – 559,000 บาท
- ราคาขายต่อมือสอง (ในปัจจุบัน) 290,000 – 390,000 บาท
Suzuki Swift รุ่นนี้มีการออกแบบภายนอกให้ดูมีมิติทำให้ตัวรถดูใหญ่ขึ้น เน้นรูปทรงมนให้ดูลงตัวกลมกลืนทั้งคัน อีกทั้งยังมีไฟหน้าใหม่ใหญ่กว่าเดิมส่องสว่างเส้นทางแม้ยามราตรีอย่างมีสไตล์ ภายในหรูหราเรียบง่ายเน้นการใช้งานอย่างสะดวกสบาย พื้นที่ในห้องโดยสารทำออกมาได้สมราคาแถมยังดีกว่าหลาย ๆ รุ่นในประเภท Segment เดียวกัน เบาะหลังยังสามารถพับได้ 60:40 ช่วงล่างดี นุ่มนวล เกาะถนนได้ดีเยี่ยม และที่สำคัญยังเป็นรถยนต์ประหยัดน้ำมัน ถือว่าเป็นซิตี้คาร์น่าใช้และยังขายต่อได้ราคาดี
ขายรถที่ไหนได้ราคาดี ลงขายรถมือสองฟรี!
1. one2car
ถ้าถามว่าขายรถมือสองที่ไหนดี 2566 นาทีนี้ต้องที่ one2car เท่านั้น เพราะเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายรถยนต์มือสองที่มีรถมากที่สุดในไทย ปัจจุบันมีมากกว่า 48,000 คัน ซึ่งคุณสามารถลงขายรถผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันก็ได้
ทำไมต้องขายรถมือสองที่ one2car
- one2car เป็นเว็บลงประกาศขายรถฟรี!
- สร้างประกาศขายรถได้ไว ไม่ยุ่งยาก
- เป็นแอปซื้อขายรถยนต์มือสองที่เชื่อถือได้
- เป็นศูนย์รวมระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขายรถมือสองขนาดใหญ่ มีผู้ซื้อกว่า 2.5 ล้านคน รอซื้อรถคุณอยู่
- มีฟีเจอร์ My Garage ประเมินราคารถมือสองได้ใน 1 นาที โดย 20% ของคนที่ใช้ฟีเจอร์นี้เช็กราคากลางรถมือสอง สนใจขายรถผ่านแอปฯ one2car ทันที
- ตั้งราคาขายรถเองได้ ไม่จำเป็นต้องไปหาว่าขายรถที่ไหนดี ให้ราคาสูง
- มีบริการตรวจสภาพรถยนต์ ซึ่งมีส่วนช่วยให้คุณขายรถได้ง่ายขึ้น เพราะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อไปอีกขึ้นหนึ่ง
2. CARSOME
เว็บไซต์ขายรถมือสองที่อยากแนะนำอีกหนึ่งแห่ง คือ CARSOME ถือเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายรถยนต์มือสองที่กำลังมาแรง มาพร้อมกับสโลแกน “ปลอดภัย เชื่อถือได้ และจบไวใน 24 ชั่วโมง” มีธุรกรรมการซื้อขายรถถึง 100,000 ธุรกรรมต่อปี พร้อมศูนย์ CARSOME กว่า 50 เมือง ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ทำไมต้องขายรถมือสองกับ CARSOME
- กระบวนการและการทำธุรกรรมไม่ยุ่งยาก ตั้งแต่ตรวจสอบสภาพรถฟรี การจัดการเอกสารทั้งหมด ตลอดจนการโอนกรรมสิทธิ์
- มีการตรวจสอบรถอย่างละเอียดเพื่อตีราคารถที่แท้จริง
- ตกลงราคากันได้ จ่ายเงินให้ภายใน 24 ชั่วโมง
- ไม่มีค่าบริการ แม้ว่าคุณจะตรวจสภาพรถและตัดสินใจไม่ขายรถที่นี่
รวม 4 เหตุผลซื้อรถมือสองดีไหม ทำไมถึงน่าสนใจ
ถ้าพูดถึงรถมือสอง สิ่งแรกที่หลายคนนึกถึงมักจะเป็นเรื่องประสิทธิภาพการใช้งาน สภาพภายนอก และสภาพภายในรถ กลัวจะโดนย้อมแมวขาย
เพราะฉะนั้นหากต้องการเป็นเจ้าของรถมือสองสภาพดี แนะนำให้เลือกซื้อกับแหล่งขายที่น่าเชื่อถือ มีมาตรฐานรองรับ รับรองว่าได้รับรถมือสองอะไหล่แท้แน่นอน
ซื้อรถมือสองดีไหม ปัจจัยที่ทำให้น่าซื้อ
การมีแหล่งซื้อรถบ้าน มือสองที่มีมาตรฐาน ทำให้คนที่อยากมีรถ สามารถเลือกซื้อเพื่อเป็นเจ้าของรถคันแรก คันที่สองได้ง่ายขึ้น
คำถามที่ว่า ‘ซื้อรถมือสองดีไหม’ เรารวบรวม 4 เหตุผลที่น่าสนใจมาไว้ให้แล้ว
ราคาถูกกว่ารถยนต์ป้ายแดง
นับว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ตัดสินใจเลือกซื้อรถมือสองได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะรถในรุ่นเดียวกันเมื่อเทียบราคากันแล้ว
บางรุ่นอาจถูกกว่ารถป้ายแดงเกือบครึ่งเลยทีเดียว
ตัวเลือกเยอะไม่จำกัด Segment
ถ้าเทียบกันระหว่างรถมือสองกับรถป้ายแดง ในงบประมาณจำกัด ตัวเลือกรถที่ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อ รุ่น หรือขนาด รถมือสองจะมีให้เลือกหลากหลายรูปแบบมากกว่า
ราคาขายต่อไม่ตก ไม่เยอะ หรือเสมอตัว
ค่าเสื่อมสภาพรถมือสอง ถือว่าน้อยกว่ารถป้ายแดงมาก ยกตัวอย่างเช่น รถ BMW ป้ายแดงราคา 2 ล้านบาท มือสองขายอยู่ 800,000 บาท
เต็นท์รถรับซื้ออยู่ที่ 400,000 บาท เห็นได้ชัดว่าค่าเสื่อมของรถมือสองทำให้เราไม่เจ็บตัวมากนัก
เหมาะกับการซื้อด้วยเงินสด
เนื่องด้วยราคาของรถมือสองไม่สูงมาก อีกทั้งยังมีระดับช่วงราคาให้เลือกที่หลากหลาย ทำให้ผู้คนเก็บเงินซื้อเงินสดได้ง่ายกว่า
สรุปบทความ
ปัจจุบันการซื้อรถมือสอง ไม่เหมือนกับสมัยก่อน เพราะมีแหล่งจำหน่ายรถบ้าน มือสอง ที่มาพร้อมการรับประกันคุณภาพ อีกทั้งก่อนรับรถยังมีบริการตรวจเช็กมากกว่า 280 จุด
ทำให้ผู้ซื้อสามารถไว้วางใจในเรื่องคุณภาพของรถได้ จึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมผู้คนจึงนิยมเลือกซื้อรถมือสองแทนรถป้ายแดง เพราะนอกจากจะได้รับรถที่มีมาตรฐาน
ยังสามารถซื้อในราคาที่ถูกกว่าด้วย
อ้างอิง https://www.toyotasure.com/contentdetail/contentdetailsui/487
รถชนหลายคัน คันไหนผิด?
เมื่อพูดถึงเห็นการณ์รถชนกันหลายคัน หลายคนมักบอกว่าคันสุดท้ายจะต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบค่าเสียหายทั้งหมด อ้างอิงจาก พรบ.จราจรทางบก พ.ศ. 2540 มาตรา 40 ที่ระบุเอาไว้ว่า
“ผู้ขับขี่จะต้องขับรถโดยเว้นระยะห่างจากรถคันหน้า
ในระยะที่สามารถหยุดรถได้โดยปลอดภัย เมื่อเกิดเหตุจำเป็นต้องหยุดรถ”
แต่อย่าลืมว่าอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะระมัดระวังด้วยการเว้นระยะห่างสักแค่ไหน ยิ่งเป็นอุบัติเหตุรถชนซ้อนกันหลายคันแบบนี้ด้วยแล้ว ไม่ได้หมายความว่าคันสุดท้ายผิดเสมอไป โดยจะต้องดูจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ จุดเกิดเหตุ พร้อมกับสอบสวนเพื่อหาสาเหตุในการชนครั้งนี้ก่อนให้เสร็จสิ้น แบ่งยกตัวอย่างลักษณะการชน 4 สถานนการณ์ ดังต่อไปนี้
1. รถชนซ้อนคัน แล้วคุณเป็นคันแรก
กรณีนี้หากคุณเบรคกะทันหัน จนเป็นเหตุทำให้รถที่ตามมาเบรคไม่ทันและชนซ้อนกัน ด้วยสาเหตุมีรถปาดหน้า คนหรือสัตว์วิ่งตัดหน้า หลายคนมักตั้งเป้าไปที่คันสุดท้าย หากคุณมีหลักฐานที่สามารถระบุได้ว่า “สาเหตุ” ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้คืออะไร เช่น มีรถขับปาดหน้าจนเป็นเหตุทำให้คุณต้องเบรคกะทันหัน ต่อให้รถชน 5 คันรวด คันไหนผิด ก็คือคันที่ขับปาดหน้าคุณจะเป็นฝ่ายผิดทันที เนื่องจากเป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุรถชนซ้อนคันนั่นเอง
2. รถชนซ้อนคัน แล้วคุณเป็นคันที่ 2
กรณีที่คุณขับรถอยู่บนถนนดี ๆ ไม่มีการเบรคกะทันหัน แล้วมีคันอื่นขับมาชนท้าย ชนรถของคุณพุ่งไปชนคันข้างหน้าอีกที แบบนี้ระบุคนผิดไม่ยาก เพราะยังไงคันที่มาชนท้ายก็เป็นฝ่ายผิด แถมยังต้องรับผิดชอบค่าเสียหายของรถคุณ และรถยนต์คันแรกอีกด้วย
3. รถชนซ้อนคันก่อน แล้วค่อยมีรถอีกคันขับมาชนท้าย
กรณีที่คุณขับรถชนท้ายรถคันข้างหน้าก่อน แล้วจู่ ๆ ก็มีรถอีกคันมาชนท้ายรถของคุณ (ขับขี่ไม่ระมัดระวัง) กรณีอุบัติเหตุรถชน 3 คัน ใครผิด? ตอบเลยว่าต้องแยกความผิด ซึ่งคุณมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบความเสียหายให้กับรถคันข้างหน้าเท่านั้น ส่วนรถคันที่ชนคุณ จะต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อรถของคุณ
4. รถชนซ้อนคัน แล้วคุณเป็นคันสุดท้าย
กรณีที่คันข้างหน้าจอดอยู่เฉย ๆ แล้วคุณเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชนซ้อนคัน คุณจะต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นแต่เพียงผู้เดียว เว้นแต่ว่า! เกิดเหตุรถชนซ้อนคันอยู่ก่อนแล้ว และคุณดันขับมาชนท้ายอีกรอบหนึ่ง (ต้องมีหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้)
กรณีที่รถชน เราเป็นฝ่ายผิด เราอาจต้องชดใช้ความเสียหายให้กับรถคันที่คุณชนเพียงคันเดียว ส่วนคันที่เหลือต้องไปพิสูจน์หลักฐานต่อ ว่าใครถูกใครผิด หรือใครเป็นต้นเหตุ แล้วจึงรับผิดชอบค่าเสียหายตามความผิดที่พิสูจน์ได้ต่อไป
ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถคืออะไร? ส่งรถซ่อมต้องรู้
ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถคืออะไร?
ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ คือ “เงินชดเชย” จากการเกิดอุบัติเหตุในกรณีที่ผู้เอาประกันเป็นฝ่ายถูก โดยสามารถเรียกร้องจากบริษัทประกันภัยของคู่กรณี เพื่อใช้เป็นค่าเดินทางในระหว่างนำรถยนต์ส่งซ่อมนั่นเอง คำถามคือ ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถสูงสุดกี่วันที่จะขอได้ ซึ่งอัตราขั้นต่ำที่ควรรู้ก่อนเรียกร้องค่าขาดประโยชน์มีดังนี้
อัตราขั้นต่ำค่าขาดผลประโยชน์จากการใช้รถ
- รถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง กำหนดอัตราขั้นต่ำไม่น้อยกว่าวันละ 500 บาท
- รถยนต์รับจ้างสาธารณะไม่เกิน 7 ที่นั่ง กำหนดอัตราขั้นต่ำไม่น้อยกว่าวันละ 700 บาท
- รถยนต์ขนาดเกิน 7 ที่นั่ง กำหนดอัตราขั้นต่ำไม่น้อยกว่าวันละ 1,000 บาท
- รถประเภทอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นไปตามข้อ 1-3 อย่าง “รถจักรยานยนต์” ให้เป็นไปตามข้อเรียกร้องและตกลงกันได้ โดยพิจารณาจากหลักฐานเป็นกรณีไป
หลังจากทราบแล้วว่าสามารถเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถวันละเท่าไหร่แล้ว ลำดับต่อมาที่ผู้เอาประกันควรทำความเข้าใจเพิ่มเติม คือ เอกสารที่จำเป็นต้องใช้ และขั้นตอนการเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ซึ่งจะมีรายละเอียดเป็นยังไง ตามกันต่อในหัวข้อต่อไปได้เลย
เรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ต้องทำยังไงบ้าง?
ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุและผู้เอาประกันเป็นฝ่ายถูก คู่กรณีเป็นฝ่ายผิด รู้ใจมีวิธีเคลมค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถมาบอกต่อ โดยมีวิธีง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากดังนี้
- ติดต่อบริษัทประกันภัยของคู่กรณี (ฝ่ายผิด) เพื่อยืนยันคำเรียกร้องค่าขาดผลประโยชน์จากการใช้รถในช่วงเวลาที่รถยนต์ของคุณอยู่ระหว่างการซ่อม โดยต้องติดต่อด้วยตัวเอง
- เมื่อบริษัทคู่กรณีแจ้งเอกสารที่ต้องการ ให้คุณนำเอกสารต่าง ๆ ส่งกลับไปยังบริษัทประกันคู่กรณี
- เจ้าหน้าที่บริษัทฝ่ายคู่กรณีดำเนินการตรวจสอบ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ทางบริษัทจะติดต่อกลับมาหาคุณ หรือบางครั้งอาจติดต่อมาเพื่อต่อรองค่าขาดประโยชน์
- หลังจากตกลงรายละเอียดต่าง ๆ จบแล้ว จะใช้เวลาในการดำเนินการประมาณ 7 วัน ก็จะได้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ
เอกสารเรียกค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ
สำหรับเอกสารจำเป็นที่ต้องใช้สำหรับยื่นเรื่องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ ส่วนใหญ่บริษัทประกันของคู่กรณีจะเป็นคนกำหนดว่าต้องการอะไรบ้าง ผู้เอาประกันจะต้องเตรียมเอกสาร และส่งกลับไปให้บริษัทประกันของคู่กรณีมีดังนี้
- ใบเสนอรายการด้านความเสียหายของรถยนต์ที่เกิดอุบัติเหตุ
- ใบรับรองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สิน (ใบเคลม)
- สำเนาเล่มทะเบียนรถยนต์
- สำเนาตารางกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
- สำเนาใบอนุญาตขับขี่รถยนต์
- สำเนาบัตรประชาชน
- หนังสือส่งมอบรถยนต์เมื่อเสร็จ/ใบรับรถ
- รูปถ่ายขณะรถกำลังถูกซ่อม
- รูปถ่ายความเสียหาย
- หนังสือเรียกร้องเกี่ยวกับสินไหม ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถ (แบบฟอร์มเรียกร้องค่าขาดประโยชน์)
- สำเนาหน้าสมุดบัญชีธนาคาร
5 วิธีใช้บัตรเดบิต ให้ห่างไกลมิจฉาชีพ
- ไม่เปิดเผยข้อมูลบัตรให้ใคร
ป้องกันมิจฉาชีพดูดเงินไปใช้ หรือนำข้อมูลบัตรไปใช้ในทางที่ผิดได้ - ไม่ควรตั้งหัสบัตรที่คาดเดาง่ายเกินไป
ไม่ควรใช้ข้อมูลส่วนตัวในการตั้งรหัสบัตร - สังเกตตู้ ATM ก่อนใช้งาน
หากพบอุปกรณ์แปลกปลอม ให้เปลี่ยนไปใช้ตู้ ATM เครื่องอื่น - ซื้อของออนไลน์กับร้านค้าที่น่าเชื่อถือ
เลือกเว็ปไซต์ทางการ หรือ ร้านค้าออนไลน์ที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับการรับรอง - ตรวจสอบการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตอยู่เสมอ
หากพบรายการที่ผิดปกติรีบอานัดบัตร และติดต่อธนาคารทันที
ร้อนแล้วต้องระวังโรคลมแดด
อาการ
-อุณภูมิร่างกายสูงเกิน 40 องศา
-กระหายน้ำมาก
-ซึม ชัก หมดสติ
-ไม่มีเหงื่อออก ผิวแดง
-คลื่นใส้ อาเจียน
-วิงเวียน ปวดศีรษะ มึนงง
การป้องกัน
*เลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฉอล์ คาเฟอีน
*ดื่มน้ำให้เพียงพอ6-8แก้ว/วัน
*ไม่อยู่ในที่แจ้งนาน
*ใส่เสื้อผ้าสบายถ่ายเทสะดวก
แนวทางปฎิบัติหากพบผู้ป่วยที่มีอาการฮีทสโตรก
-พาเข้าที่ร่ม มีอากาศถ่ายเท
-ถอดเสื้อผ้าให้เหลือน้อยชิ้น เพื่อระบายความร้อน
-ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบ ซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ หน้าผาก และพัดลมช่วยระบายความร้อน