เฉลิมชัย รถบ้าน

ที่สุดด้านคุณภาพและบริการ ต้องเฉลิมชัย รถบ้าน
โทร : 096-242-8639 เปิดทำการทุกวัน
110/4 หมู่ 1 ต.หนองยาว อ.เมือง จ.สระบุรี

Author: tcceditor1

เลี้ยวรถแล้วหมุนพวงมาลัยสุด เสี่ยงเพลารถพังเร็ว

หมุนพวงมาลัยจนสุด ส่งผลเสียต่อรถยังไง?

ชุดบังคับเลี้ยวของรถยนต์ ประกอบด้วยแรคพวงมาลัยที่ต่อเชื่อมกับก้านของพวงมาลัยรถยนต์ไปจนถึงวงพวงมาลัย ซึ่งมีทั้งพวงมาลัยรถไฟฟ้าและพวงมาลัยพาวเวอร์สายพาน ทั้ง 2 แบบมีกระปุกน้ำมันหล่อลื่นที่ทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก หรือทำงานด้วยกลไกที่พ่วงต่อกับสายพานหน้าเครื่องรถยนต์

โดยหน้าที่หลักของ “พวงมาลัยรถยนต์” คือ ควบคุมให้รถยนต์วิ่งไปในทิศทางที่ต้องการ ใช้เพื่อจอด และใช้ในการเลี้ยวรถ การจะหมุนพวงมาลัยจนสุด ไม่ว่าจะจากซ้ายไปขวาหรือจากขวามาซ้าย แล้วเหยียบคันเร่งออกตัวเร็ว ๆ อาจทำให้ชุดบังคับเลี้ยวได้รับความเสียหายมากมาย ดังนี้

1. หมุนพวงมาลัยจนสุดแบบเร็วและแรง

การที่คุณหมุนพวงมาลัยจนสุดแบบเร็ว ๆ และแรง ๆ จะทำให้แรงดันน้ำมันพาวเวอร์เกิดการไหลย้อน อาจทำให้บริเวณจุดเชื่อมต่อของท่อน้ำมันพาวเวอร์เกิดการรั่วออกจากตัวปั๊ม หรือรั่วซึม ซีลยางสึกหรอ รวมถึงชิ้นส่วนต่าง ๆ ของแรคพวงมาลัยเสียหาย

2. หมุนพวงมาลัยจนสุด พร้อมออกตัวอย่างรวดเร็ว

กรณีที่หมุนพวงมาลัยจนสุด พร้อมเหยียบคันเร่งเพื่อออกตัวอย่างรวดเร็ว จะทำให้เพลารถขับเคลื่อนล้อหน้าได้รับความเสียหาย อาจทำให้ลูกปืนของเพลาหรือระบบพวงมาลัยพาวเวอร์เสียหาย เนื่องจากรับแรงมากเกินไป ส่วนใหญ่ปัญหาที่เกิดขึ้นมักเกิดกับรถที่ใช้พวงมาลัยพาวเวอร์ระบบไฮดรอลิก

3. หมุนพวงมาลัยขณะที่รถจอดนิ่งอยู่กับที่

หากรถจอดนิ่งอยู่กับที่แล้วคุณหมุนพวงมาลัยจนสุด จะก่อให้เกิดความเสียหายในระยะยาว เช่น ยางรถยนต์เกิดการเสียดสีกับพื้นถนน ทำให้ดอกยางสึกหรอก่อนกำหนด หรือรถยนต์ที่ใช้พวงมาลัยไฟฟ้าอาจเกิดการสึกหรอแล้วตามมาด้วยความเสียหาย เนื่องจากมอเตอร์ทำงานหนักกว่าปกติ ซึ่งจะตามมาด้วยค่าซ่อมแซมชุดบังคับเลี้ยวที่สูงเอาเรื่องเลยล่ะ 

4. หมุนพวงมาลัยจนสุด แล้วคาทิ้งไว้นาน ๆ

อาจทำให้ระบบบังคับเลี้ยงเกิดความเสียหายได้ เนื่องจากน้ำมันพาวเวอร์เกิดความร้อนสูง ซึ่งจะเกิดขึ้นกับรถยนต์ที่ใช้พวงมาลัยพาวเวอร์ระบบไฮดรอลิก มีสายพานคล้องกับปั๊มเพื่อสร้างแรงดันน้ำมันไฮดรอลิกไหลไปหล่อเลี้ยงระบบ 

เลี้ยวรถเข้าโค้งยังไงให้ปลอดภัย ห่างไกลจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน?

หนึ่งในวิธีที่คนมีรถจำเป็นต้องเรียนรู้เอาไว้หน่อย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน คือ การเลี้ยวรถเข้าโค้งให้ปลอดภัย ซึ่งเราก็ได้รวบรวมมาให้ทั้งหมด 3 วิธีเลี้ยวรถ จะมีอะไรบ้างนั้น ตามไปทำความเข้าใจกันเลยดีกว่า 

1. ระมัดระวังในการเร่งเครื่องยนต์

หากเร่งเครื่องยนต์ในขณะเข้าโค้ง จะทำให้การหมุนพวงมาลัยไม่สอดคล้องกับทางโค้ง แต่ถ้ากำลังจะผ่านจุดยอดของโค้งด้านในไปอย่างมั่นคง สามารถแตะคันเร่งเพื่อรักษาความเร็วระหว่างเข้าโค้งได้ โดยเหยียบคันเร่งเบา ๆ ให้ยังพอรู้สึกว่าสามารถควบคุมพวงมาลัยรถยนต์ได้โดยไม่เสียหลัก แต่ถ้าไม่ได้รู้สึกแบบนั้น ให้ถอนคันเร่งออกมาพร้อมกับแตะเบรคเบา ๆ 

2. ใช้ความระวังในการเปลี่ยนเลน

ถ้าต้องการเปลี่ยนเลน ควรเปลี่ยนเลนให้อยู่ชิดกับส่วนนอกของโค้ง เช่น หากต้องการเข้าโค้งเพื่อเลี้ยวขวา ให้เปลี่ยนเลนมาอยู่ด้านซ้ายสุด เพื่อให้เลี้ยงในทางโค้งได้เยอะขึ้น ไม่ข้ามไปเลนตรงข้าม และที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการแซงบริเวณทางโค้ง

3. ไม่กระแทกเบรคขณะเข้าโค้ง

ในขณะที่ขับรถเข้าโค้งควรใช้ความเร็วต่ำ ไม่กระแทกเบรคแรง ๆ แต่ให้ค่อย ๆ แตะเบรคและชะลอรถตอนเลี้ยว ที่สำคัญไม่ควรหักพวงมาลัยกะทันหันเกินไป หากพ้นโค้งไปแล้วจึงค่อย ๆ เร่งเครื่อง เพราะถ้าหากเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง อาจทำให้รถเสียการทรงตัว หรืออาจทำให้พลิกคว่ำได้ง่าย

5 อันดับสีรถยนต์ที่ฮิตที่สุดในไทย พร้อมเหตุผลว่าทำไมจึงนิยม?

1. รถสีขาว

รถยนต์สีขาวค่อนข้างสะดุดตาบนท้องถนนทั้งในตอนกลางวันและกลางคืน ถือเป็นสีรถยนต์ที่ให้ความปลอดภัยอันดับต้น ๆ แถมยังเป็นสีที่ดูแพงและมีความคลาสสิก ทำให้หลายคนตัดสินใจซื้อมากกว่าสีอื่น ๆ 

รถสีขาวใช้นาน ๆ เสี่ยงกลายเป็นสีเหลือง

รู้มั้ย? สีรถยนต์สีขาวหากดูแลไม่ดีเสี่ยงเหลือง หากไม่อยากให้สายเกินแก้ เรามีวิธีดูแลรถสีขาวมาบอกต่อ ดังนี้

  • สีขาวเป็นสีของความสะอาด จึงควรล้างรถ ‘อย่างน้อย’ เดือนละ 1 ครั้ง หรือจะล้างทุกสัปดาห์ก็ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละบุคคล หากเป็นไปได้ควรเคลือบสีด้วย เพื่อป้องกันคราบฝุ่นเกาะและคราบฝังแน่น
  • ไม่ควรจอดกลางแจ้ง แสงแดดไม่เป็นมิตรกับรถสักเท่าไหร่ เพราะ “ความร้อน” มีผลให้สีรถเปลี่ยนได้ นอกจากนี้ยังไม่ควรจอดใต้ต้นไม้ เนื่องจากยางไม้ก็เป็นศัตรูตัวฉกาจ ที่ทำให้สีรถยนต์ได้รับความเสียหาย ยิ่งถ้าตกใส่รถจนเป็นคราบหนัก อาจทำให้ล้างไม่ออกได้อีกด้วย

2. รถสีดำ

อีกหนึ่งสีรถยนต์ที่ฮิตตลอดกาล มีเสน่ห์น่ามอง แถมยังเป็นสีรถที่สะท้อนถึงบุคลิกความเรียบหรู ที่สำคัญเมื่อสีรถได้รับความเสียหาย ก็สามารถซ่อมได้ง่ายกว่าสีอื่น ๆ แต่มีข้อจำกัดคือมองเห็นได้ยากในช่วงเวลากลางคืน อาจทำให้ไม่ปลอดภัยเมื่อเทียบกับรถสีขาว

3. รถสีบรอนซ์เทา

เป็นโทนสีรถยนต์ที่ดูแลรักษาง่าย เนื่องจากเป็นสีโทนกลาง เวลาเลอะคราบฝุ่นละอองเล็ก ๆ ก็ดูกลมกลืนกับสีรถ นอกจากนี้ในด้านความเชื่อ ยังมองว่ารถสีบรอนซ์เทาช่วยเสริมดวงเมตตามหานิยม เสริมเสน่ห์ การสนับสนุนเกื้อกูล และบริวารที่ดีอีกด้วย

4. รถสีน้ำเงิน

แม้จะฉูดฉาดกว่าทั้ง 3 สีก่อนหน้า แต่รถสีนี้ก็ยังถือเป็น “สีโทนกลาง ๆ” สามารถมองเห็นได้ดีในเวลากลางวัน แต่ก็มองเห็นได้ยากเมื่อขับรถกลางคืน ขึ้นอยู่กับว่าเป็นโทนสีเข้ม กลาง หรืออ่อน นอกจากนี้ยังถือเป็น “สีเสริมดวง” ด้านความสงบ ปลอดภัยจากเหตุร้าย 

5. รถสีแดง

รถสีแดงนอกจากจะเป็นสีที่เป็นเอกลักษณ์ของรถ Super Car แล้ว ยังเป็น “สีเสริมดวง” ที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ส่วนใหญ่มักนำมาเสริมดวงด้านความสงบ ปลอดภัยจากเหตุร้าย เช่น อุบัติเหตุ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวงเช่นกัน

สีของน้ำหยดใต้ท้องรถ บอกความผิดปกติของรถได้ สีไหนอันตราย?

น้ำหยดใต้ท้องรถ เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง?

น้ำที่หยดลงมาจากใต้ท้องรถ ส่วนใหญ่มาจากระบบแอร์รถยนต์ เกิดจากระบบทำงานของเครื่องปรับอากาศไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน จึงล้นและไหลออกจากใต้ท้องรถยนต์ แต่ถ้าหากไหลในปริมาณมากเกินไปจนทำให้พรมฝั่งผู้โดยสารเปียกแฉะ อาจมาจากสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตันในรูท่อทางน้ำทิ้งแอร์ได้

นอกจากนี้ก็ยังเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ดังนี้

  • ซีลยางเสื่อมสภาพ (มักเกิดกับรถที่มีอายุการใช้งานยาวนาน)
  • แหวนรองนอตถ่ายน้ำมันเครื่องแตก หรือฉีกขาด
  • อ่างน้ำมันเกียร์รั่ว
  • รถเกิดการครูด หรือกระแทกบริเวณใต้ท้องรถ
  • การเปลี่ยนชิ้นส่วนที่ไม่เข้ากัน
  • การดัดแปลงเครื่องยนต์
  • การขันนอตยึดติดไม่แน่น

เช็คสีน้ำที่หยดลงมาเป็นน้ำจากส่วนไหน อันตรายหรือไม่?

นอกจากน้ำแอร์ที่หยดลงใต้ท้องรถแล้ว อาจมีของเหลวอื่น ๆ หยดลงมาให้เห็นได้เช่นกัน ซึ่งของเหลวอื่น ๆ เหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณที่กำลังบ่งบอกว่ารถยนต์ของคุณมีปัญหาได้ ซึ่งจะมีวิธีสังเกตยังไงบ้าง ตามไปดูพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า

น้ำแอร์หยด

ลักษณะ: ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ใสและเหลวเหมือนน้ำเปล่าทั่วไป
ข้อแนะนำ: สามารถถอดแยกท่อทางน้ำทิ้งแอร์รถยนต์ออกจากชุดตู้แอร์ เพื่อดูว่ามีสิ่งผิดปกติเข้าไปอุดตันภายในท่อทางน้ำทิ้งแอร์หรือไม่ ในกรณีที่ไม่สะดวกทำเองสามารถส่งรถให้ช่างตรวจสอบ และลองใช้ลมเป่าทะลวงท่อได้

น้ำรั่วจากหม้อน้ำหรือหม้อพัก

ลักษณะ: สีเขียวหรือสีชมพู กลิ่นคล้าย ๆ กับมีโลหะผสม (สีของน้ำยาหม้อน้ำ)
ข้อแนะนำ: สาเหตุที่ทำให้มีน้ำรั่วออกจากหม้อน้ำ อาจเกิดจากระบบความเย็นในเครื่องยนต์มีปัญหา แนะนำให้ตรวจสอบถังระบายน้ำว่ามีปัญหาหรือไม่ เช่น ตรวจสอบสายน้ำยาง, รอยรั่วที่ถังระบายน้ำ, ปั๊มน้ำ รวมถึงระบบหล่อเย็น และท่อต่าง ๆ ที่เสื่อมสภาพ

น้ำมันเกียร์

ลักษณะ: น้ำเป็นสีแดง เหนียว และข้นหนืด
ข้อแนะนำ: สาเหตุที่ทำให้น้ำมันเกียร์หยดใต้ท้อง รถอาจเป็นเพราะซีลเพลาขับฉีกขาด เสื่อมสภาพจนเนื้อยางแข็ง ปะเก็นอ่างน้ำมันเกียร์ หรือรั่วจากนอตถ่ายน้ำมันเกียร์ ควรนำรถเข้าอู่เพื่อตรวจสอบ และไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจทำให้ชุดเกียร์รถยนต์ หรือระบบเกียร์มีปัญหาตามมาได้

น้ำมันรั่วจากหม้อน้ำฉีดกระจก

ลักษณะ: มีฟองและมีกลิ่น
ข้อแนะนำ: สามารถทดสอบน้ำมันรั่ว ใต้ท้องรถที่เกิดจากหม้อน้ำฉีดกระจกได้ง่าย ๆ ด้วยการเติมน้ำยา หรือน้ำยาล้างรถลงไปผสมในหม้อน้ำฉีดกระจก ซึ่งน้ำที่รั่วจะมีฟอง และมีกลิ่นไหลออกมา

น้ำมันเครื่องรั่ว

ลักษณะ: น้ำเป็นสีใส หรือสีขุ่นดำ
ข้อแนะนำ: สาเหตุที่ทำให้น้ำมันเครื่องหยดใต้ท้องรถอาจเป็นเพราะซีลอ่างน้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพ ปะเก็นนอตถ่ายน้ำมันเครื่องแตก ฉีกขาด เสื่อมสภาพ หรือซีลไส้กรองน้ำมันเครื่องไม่เข้าที่ ไม่เข้าตำแหน่งหลังจากมีการเปลี่ยนไส้กรองน้ำมันเครื่อง ควรนำรถเข้าซ่อม และบอกอาการกับช่างหรือจุดรั่วตามที่เจอ เพื่อแก้ไขได้อย่างตรงจุด

อัปเดต 2568 ต่อภาษีรถยนต์ วันเสาร์-อาทิตย์ที่ไหนได้บ้าง?

หนึ่งในหน้าที่สำคัญของคนมีรถทุกคนคือเรื่องการต่อภาษีรถยนต์ประจำปี หรือที่เรียก ๆ กันว่าต่อทะเบียนรถนั่นเอง แต่หลายคนกลับไม่สะดวกลางานไปจัดการ เลยเกิดความสงสัยว่าจะต่อภาษีรถยนต์ วันเสาร์-อาทิตย์ได้มั้ย ไปวันหยุดได้มั้ย หรือต่อภาษีออนไลน์ได้หรือเปล่า บทความนี้รู้ใจลิสต์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องมาให้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเอกสารที่จำเป็น และขั้นตอนการต่อภาษีรถยนต์อย่างละเอียด จะมีอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย

วันเสาร์-อาทิตย์ ต่อภาษีรถยนต์ ที่ไหนได้บ้าง?

อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ว่าการต่อภาษีรถยนต์และรถจักรยานยนต์ สามารถดำเนินการต่อภาษีออนไลน์หรือออฟไลน์

ซื้อรถมือ2อายุไม่เกิน5ปี คุ้มกว่าซื้อป้ายแดงไหม

ราคารถใหม่ในปัจจุบันเมื่อเทียบกับอดีตนับว่าสูงขึ้นมาก จนทำให้หลายคนที่คิดจะซื้อรถต่างคิดแล้วคิดอีกว่าจะก่อหนี้ก้อนโตดีหรือไม่ โชคดีที่มีตลาดรถยนต์มือสองราคาไม่แพง แต่อายุของรถก็เป็นสิ่งที่อดคิดไม่ได้ว่ามันเก่าไปไหม จะซื้อดีหรือไม่?

สำหรับรถยนต์มือสองที่มีอายุ 2-5 ปี ก็ถือว่าไม่เก่าเลยเมื่อเทียบกับอายุในตลาดรถยนต์ แถมมีความคุ้มค่ามากในราคาที่ต่ำกว่ารถยนต์ใหม่เอี่ยม อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเจอรถมือสองสภาพดี มันจะกลายเป็นรถที่มีความคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปอย่างแน่นนอน เราลองมาเรียนรู้ข้อดี ข้อเสีย ของการซื้อรถยนต์อายุไม่เกิน 5 ปี พร้อมวิธีการตรวจสอบก่อนตัดสินใจซื้อ

รถมือสองอายุเท่าไหร่ดีที่สุด

หลักการทั่วไปของการเลือกรถยนต์มือสอง คือ หารถยนต์ที่มีอายุระหว่าง 2 ถึง 5 ปี เพราะยังเป็นรถที่มีความสดใหม่ในตลาดรถยนต์ บางคันวิ่งใช้งานน้อยหลักหมื่นกิโลต้นๆ แต่ถ้าโชคดีอาจเจอรถวิ่งหลักพันโลก็เป็นได้ ดังนั้นส่วนประกอบต่างๆ ของตัวรถยังมีการสึกหรอตามธรรมชาติหรือการใช้งานน้อยนั่นเอง แถมยังมีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดสนิมหรือการกัดกร่อนในรถที่มีอายุเพียงไม่กี่ปี

อย่างไรก็ตาม บางคนอาจมีงบจำกัด ทำให้ไม่สามารถเอื้อมถึงรถมือสองอายุน้อยได้ ลองหันมามองพวกรถยนต์รถมือสองที่มีอายุ 5-10 ปี เพราะไม่เพียงแต่จะมีราคาถูกกว่ารถอายุ 2 ปี เท่านั้น แต่เจ้าของเดิมหลายรายก็ยังรักษารถให้รถอยู่ในสภาพดีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการดูแลรักษา การเข้าเช็คระยะตรงตามเวลา หรือใช้อะไหล่แท้จากศูนย์บริการเมื่อต้องเปลี่ยนส่วนที่สึกหรอ ทำให้มันยังคงเป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยมแม้จะมีอายุเกิน 5 ปี แล้วก็ตาม

ข้อดีของการซื้อรถมือสองอายุไม่เกิน 5 ปี

· ประหยัดเงินมากขึ้น: สำคัญที่สุดของการซื้อรถมือสองรุ่นเก่า คือ ประหยัดเงินมากกว่าซื้อรถใหม่ เพราะรถมือสองอายุ 5 ปี ไม่เพียงแต่ราคาถูกกว่ารถใหม่เท่านั้น แต่คุณยังจะจ่ายเงินน้อยลงเมื่อซื้อประกันภัยอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น การผ่อนจ่ายรถยนต์มือสองอาจหมดเร็วกว่าซื้อรถยนต์ใหม่อีกด้วย ซึ่งขึ้นอยู่กับเงินดาวน์หรือโปรโมชั่นทางบริษัทสินเชื่อ ณ เวลานั้นๆ แต่ถ้าใครซื้อสดบอกเลยว่าคุ้มค่ากว่าแน่นอน

· ความทนทาน: ในอดีตที่ผ่านมารถยนต์มือสองมีชื่อเสียงในด้านลบและมีปัญหามากมาย แต่ตอนนี้จะไม่ไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป เพราะรถยนต์ที่ผลิตในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมามีความปลอดภัย แข็งแรง ประหยัดน้ำมัน และทนทานต่อการใช้งานมากขึ้น

· Aftermarket: อุปกรณ์เสริมในตลาดหลังการขายมีให้เลือกมากมาย และมีราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับรถยนต์รุ่นใหม่ นอกจากนี้ คุณยังสามารถหาอุปกรณ์อัปเกรดและติดตั้งอุปกรณ์เสริมในราคาที่คุ้มค่าให้กับรถเก่าได้ เช่น ระบบแจ้งเตือนมุมอับสายตา กล้องมุมมองรอบคัน 360 องศา เซ็นเซอร์ถอยหลัง รวมถึงหน้าจอให้ความบันเทิงพร้อมการเชื่อมต่อ Android Auto และ Apple Carplay เป็นต้น

ข้อเสียของการซื้อรถอายุไม่เกิน 5 ปี

· นวัตกรรมด้อยกว่า: การซื้อรถมือสองรุ่นเก่าอาจหมายถึงการพลาดคุณสมบัติใหม่ๆ แม้ว่า 5 ปี อาจเป็นเวลาที่ไม่นานนัก แต่เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมมากมายกลายเป็นคุณสมบัติมาตรฐานในรถยนต์รุ่นใหม่ ตัวอย่างเช่น เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เทคโนโลยีช่วยเหลือผู้ขับขี่อย่างระบบอย่างช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนและช่วยควบคุมรถเมื่อออกนอกเลน หรือเทคโนโลยีไฮบริด จะอยู่ในรถที่มีราคาแพงหรือราคาสูงกว่า 1 ล้านบาท แต่ในปัจจุบันรถใหม่ไม่เกินล้านบาทก็มีมาให้เป็นมาตรฐานแล้ว

· ค่าซ่อมแพงกว่ารถใหม่: แม้ว่าเจ้าของคนก่อนจะดูแลรักษารถเป็นอย่างดี แต่ชิ้นส่วนอื่นๆ ก็ยังคงเสื่อมสภาพไปตามเวลา แม้ว่าคุณจะประหยัดเงินจากการซื้อรถยนต์มือสองอายุ 5 ปี แต่ก็ยังต้องจัดสรรเงินบางส่วนเพื่อซ่อมแซมและเปลี่ยนชิ้นส่วนรถยนต์อยู่ดี

· Warranty: การรับประกันจากผู้ผลิตก็เป็นเรื่องสำคัญ รถใหม่ในปัจจุบันที่มาจากโรงงานจะมีระยะรับประกันสูงสุด 5 ปี หรือ 150,000 กม. โดยเงื่อนไขนี้จะแตกต่างกันไปแต่ละแบรนด์ รวมถึงโปรโมชั่นค่าแรงในการนำรถเข้าเช็คบริการต่างๆ แต่ถ้าเป็นรถมือสองอายุ 2 ปี และมีการใช้งานไม่เกินจากที่กำหนดไว้ก็จะอยู่ในการรับประกันเช่นกัน แต่ถ้าเป็นรถมือสองอายุ 5 ปีขึ้นไป การรับประกันก็จะหมดไปโดยบริยาย ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมมากขึ้นเมื่อเทียบกับรถใหม่

· ค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง: รถยนต์อายุมากขึ้นมักมีความประหยัดในการเผาไหม้เชื้อเพลิงน้อยลง ซึ่งอาจทำให้ต้องจ่ายเงินค่าน้ำมันมากขึ้นในระยะยาว

· คุณภาพ: คุณอาจไม่สามารถทราบประวัติการใช้งานของรถอย่างชัดเจน นอกจากนี้ รถยนต์มือสองที่มีอายุมากขึ้นอาจมีประวัติการชนหรือการใช้งานที่ไม่ค่อยดี ซึ่งอาจทำให้คุณต้องเสียเวลาและเงินในการซ่อมแซมหรือดูแลรักษารถ

อย่าเพิ่งซื้อรถมือสองถ้ายังไม่ได้ตรวจ 5 เรื่องนี้

1. โครงสร้าง (ความปลอดภัยสูงสุดของตัวรถ)

การตรวจสอบโครงสร้างเป็นหัวใจสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่ารถยังคงความแข็งแรง ไม่เคยผ่านการชนที่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างหลักหรือแชสซี

สิ่งสำคัญ: หากโครงสร้างรถยนต์เกิดความเสียหายในระดับที่ส่งผลต่อความปลอดภัย

2. เครื่องยนต์ (ขุมพลังและสมรรถนะของรถ)

เครื่องยนต์ที่ดีคือหัวใจของรถยนต์ทุกคัน เราตรวจสอบทั้งประสิทธิภาพ ความสมบูรณ์ และความโปร่งใสในประวัติการใช้งาน

*ยกเว้นการติดตั้งจากโรงงานที่ผลิตรถยนต์คันนั้น โดยอุปกรณ์ทุกอย่างจะต้องอยู่ในสภาพปกติ

3. สภาพภายนอก (ความสมบูรณ์ของตัวถังและการทำสี)

ความสวยงามของรถยนต์เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผู้ซื้อนั้นให้ความสนใจ และเราตรวจสอบตัวถังและการทำสีอย่างละเอียด

4. สภาพภายใน (ห้องโดยสาร)

เราตรวจสอบความสมบูรณ์ และการใช้งานของอุปกรณ์ในห้องโดยสาร เพื่อให้คุณมั่นใจในทุกการขับขี่

5. ระดับน้ำท่วม

เลือกซื้อรถมือสองกับเรา เพราะคุณค่าของรถยนต์ที่ดีไม่ได้อยู่แค่ที่ราคา แต่อยู่ที่ ความปลอดภัย คุณภาพ และความมั่นใจ ในทุกการเดินทาง

7 รถที่ราคาไม่ตก ขายต่อไม่เจ็บตัว มีรุ่นไหนบ้าง

1. Toyota Fortuner

Fortuner มือสอง ยืนหนึ่งรถที่ราคาไม่ตก เพราะแบรนด์ Toyota ได้รับความนิยมสูงสุดในไทย มีความน่าเชื่อถือสูง แถมยังขึ้นชื่อเรื่องความทนทาน หมดห่วงเรื่องศูนย์บริการและราคาอะไหล่ จึงไม่แปลกใจว่าทำไมฟอร์จูนเนอร์มือสองถึงขายดีจนมียอดขายมากที่สุดในไทย

เท่านั้นยังไม่พอ ตัวท็อปรุ่น GR Sport ยังแรงที่สุดในกลุ่มรถ PPV ด้วย แต่ราคาก็แรงสุดเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น ทุกโฉมของเจ้ารถคุกกี้คันนี้ยังหามีคนหาซื้ออยู่ตลอด นับว่าความต้องการสูงมาก ไม่เคยพลาดที่ 1 รถอเนกประสงค์มือสองใน one2car เลยสักครั้ง!

2. Honda Civic

ฮอนด้าซีวิคมือสองเป็นรถเก๋งที่ราคาไม่ตก แถมความนิยมก็ไม่เคยเสื่อมคลาย ยืนยันได้จาก 11 เจเนอเรชันที่มีมาทั้งหมด เพราะแบบนี้ Honda Civic มือสอง จึงเป็นรถเก๋งอันดับ 1 ในไทย และเป็นรุ่นที่คนเสิร์ชหามากที่สุดใน one2car ด้วย

ดีไซน์ถูกใจวัยรุ่นและวัยทำงาน เหมาะกับทุกเพศทุกวัย เข้ากับไลฟ์สไตล์คนเมือง แต่ละโฉมยังมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง บ่งบอกสไตล์ของผู้ขับได้

โดยโฉมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ Honda Civic Gen 10 หรือ Civic FC ที่มักเรียกกันว่า ‘กันดั้ม’ นั่นเอง

  • ราคาเปิดตัว Civic FC อยู่ที่ 869,000 – 1,199,000 บาท
  • ราคามือสองเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 600,000 – 840,000 บาท ลดจากมือหนึ่งไป 269,000 – 359,000 บาท

3. Toyota Hilux Revo

ในบรรดารถกระบะ Toyota Hilux Revo มือสอง คือรุ่นที่ราคาแข็งเป็นอันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ ด้วยความที่ได้รับความนิยมสูงมาก คนมักนำไปใช้เป็นกระบะทำมาหากิน จึงมีความต้องการซื้อขายอยู่ตลอดเวลา

บวกกับความอึด! ถึก! ทน! และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ก็มีส่วนทำให้มันน่าซื้อ ด้วยเหตุนี้ รีโว่เลยเป็นรถที่ราคาไม่ตกเท่าไรนักเมื่อเทียบกับคู่แข่งแบรนด์รองหลายแบรนด์

ยกตัวอย่าง Toyota Hilux Revo smartcab 2.4 Z Edition Entry

  • ราคามือหนึ่ง 719,000 บาท
  • ราคาเฉลี่ยมือสองปี 2022 อยู่ที่ 460,000 บาท ลดจากมือหนึ่งไป 259,000 บาท

4. ISUZU D-Max

แม้ว่า ISUZU D-Max มือสอง จะมีคนลงขายรถเยอะกว่าเพื่อนในหมู่รถกระบะมือสองด้วยกัน แต่มันคือรถที่ซื้อง่ายขายคล่องสุด ๆ แถมยังครองใจคนไทยมาอย่างยาวนาน พูดง่าย ๆ คือคนส่วนใหญ่เชื่อมั่นในแบรนด์นี้

ที่เห็นได้ชัดเลยคือ เขาขึ้นชื่อเรื่องความประหยัด ทนทาน ไม่จุกจิก อะไหล่หาง่าย ราคาไม่แพง เข้าอู่ไหนก็ซ่อมได้

ด้วยเหตุนี้ ดีแม็กซ์เลยเป็นรถที่ราคาไม่ตก ซื้อไปใช้ก็คุ้ม ขายต่อก็ได้ราคาดี

ยกตัวอย่าง D-max space cab รุ่น 1.9 S โฉมปี 2020

  • ราคาตอนเปิดตัว = 640,000 บาท
  • ราคามือสองเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 480,000 บาท ลดจากมือหนึ่งไปประมาณ 160,000 บาท

5. Honda CR-V

Honda CR-V มือสอง เป็นรุ่นที่ทำให้รถ SUV บูมในไทย! และยังเป็นหนึ่งในรถที่ราคาไม่ตก(มาก)เมื่อเทียบกับคู่แข่ง

ยกตัวอย่าง Mazda CX-5 มือสอง ราคาหายไปเกือบล้าน (แต่รถโคตรน่าใช้) ตัวเริ่มต้นโฉมปี 2017 ราคา 1,290,000 บาท แต่มือสองเริ่มเพียง 299,000 บาท ไม่ถึงครึ่งล้านด้วยซ้ำ

ส่วนราคา CR-V มือสองปี 2017 ยังเกินครึ่งล้านอยู่เลย

  • ราคาเปิดตัว Honda CR-V 2017 = 1,399,000 – 1,699,000 บาท
  • ราคากลางมือสองอยู่ที่ = 700,000 – 850,000 บาท ลดจากมือหนึ่งไปประมาณ 699,000 – 849,000 บาท

6. Honda Civic Hatchback

ปกติซีวิคก็ราคาแข็งอยู่แล้ว เจอ Honda Civic Hatchback มือสอง (Civic FK) เข้าไป บอกเลยว่ายิ่งกว่า เพราะ Civic FK มือสอง เป็นโฉม Hatchback ที่ไม่ค่อยมีในไทย เผลอ ๆ อาจกลายเป็นของแรร์ด้วยซ้ำ

ที่สำคัญ คือ ดีไซน์มันสวยมาก ๆ แถมหน้าตาดันมาคล้ายกับ Civic FK Type R อีก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนชอบ Civic FK มือสอง ถึงขั้น ‘ของมันต้องมี’

เปิดตัวมาช่วงปี 2019 ตอนนี้ 2024 แล้ว ผ่านไป 5 ปี ราคาหายไปแค่ 3 แสนกว่าเอง 

  • ราคามือหนึ่ง Civic FK RS (ตัวท็อป) = 1,229,000 บาท
  • ราคามือสองอยู่ที่ประมาณ = 900,000 บาท ลดจากมือหนึ่งไปประมาณ 329,000 บาท

7. Honda Jazz

แม้ว่า Honda Jazz จะเลิกทำการตลาดและมี Honda City Hatchback มาแทนที่ แต่มันยังคงฮิตอย่างเนื่อง ทั้ง Honda Jazz GD GE GK ต่างก็ได้รับความนิยมทุกโฉม

โดยเฉพาะโฉม GK ที่สวยลงตัวที่สุด และกำลังจะกลายเป็นของแรร์ด้วย แถมยังเป็นรถ Hatchbackที่มีจุดเด่นเรื่องความกว้าง ยอมรับว่าเป็นรถเล็กที่จุของได้เยอะมาก นอกจากนี้ วัยรุ่นยังนิยมนำไปแต่งซิ่ง แต่งสวย อีกด้วย

  • ราคามือหนึ่ง Honda Jazz 1.5 RS ปี 2018 = 745,000 บาท
  • Honda Jazz 1.5 RS 2018 มือสอง ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 460,000 บาท ลดจากมือหนึ่งไปประมาณ 285,000 บาท

5 รถราคาไม่ตก ใช้จนคุ้ม 10 ปี ก็ยังขายง่าย

1. Toyota Fortuner รุ่น 2020

รถยนต์ Toyota Fortuner เป็นรถยนต์ประเภท PPV ที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 เพราะมาพร้อมกับที่ดูดีมีระดับ และฟังก์ชันเสริมที่ครบเครื่อง แฝงไปด้วยความดุดันเป็นเอกลักษณ์ ส่งผลให้รถยนต์รุ่นนี้สามารถไปต่อได้อีกยาว ๆ เนื่องจากความต้องการในตลาดรถมือสองสูง ราคาไม่ตกง่าย ๆ อย่างแน่นอน

  • ราคาจำหน่าย (ป้ายแดง): เริ่มต้นที่ 1,104,000-1,536,000 บาท
  • ราคาจำหน่าย (มือสอง): 780,000-1,050,000 บาท
2. Isuzu D-Max

Isuzu D-Max รถกระบะเครื่องยนต์ดีเซล มีความแรงให้เลือกหลายระดับ แถมยังมีศูนย์บริการทั่วประเทศ แถมยังเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ช่วยประหยัดน้ำมันได้ดีมาก ซึ่งในตลาดรถมือสองก็ถือว่าได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากรถของคุณยังอยู่ในสภาพดีแล้วล่ะก็ บอกเลยว่ากระบะมือสองขายตอนไหนก็คุ้ม!

  • ราคาจำหน่าย (ป้ายแดง): เริ่มต้นที่ 469,000-599,000 บาท
  • ราคาจำหน่าย (มือสอง): 430,000-480,000 บาท
3. Honda Jazz รุ่นปี 2019

Honda Jazz รุ่นปี 2019 นับเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ได้รับความนิยมไม่แพ้ใคร ด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงาม ปราดเปรียว ตอบโจทย์ทุกการขับเคลื่อนบนท้องถนนได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการขับขี่ในเมือง หาที่จอดก็ง่าย คล่องตัว แถมยังช่วยประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นในเรื่องของ “พื้นที่เก็บสัมภาระ” ที่สามารถพับเบาะหลังเพื่อเพิ่มขนาดของพื้นที่ให้กว้างขึ้นได้

  • ราคาจำหน่าย (ป้ายแดง): เริ่มต้นที่ 590,000-715,000 บาท
  • ราคาจำหน่าย (มือสอง): 420,000-520,000 บาท
4. Honda CRV รุ่นปี 2018

Honda CRV เป็นรถยนต์ประเภท SUV ที่ตอบโจทย์ความต้องการของสายครอบครัวได้ค่อนข้างมาก แถมยังมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่หรูหรา ทันสมัย และมี “ระบบควบคุมอัจฉริยะ” ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่ให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประหยัดน้ำมัน แถมรองรับการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง E85 อีกด้วย

  • ราคาจำหน่าย (ป้ายแดง): เริ่มต้นที่ 1,168,000-1,543,000 บาท
  • ราคาจำหน่าย (มือสอง): 750,000-890,000 บาท
5. Toyota Vios รุ่นปี 2019

Toyota Vios รุ่นปี 2019 มีการเพิ่มออฟชั่นเพิ่มเติม พร้อมกับปรับรุ่นย่อยให้คุณมีตัวเลือกที่เพิ่มขึ้น เปิดตัวมาพร้อมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างครบครัน ช่วยให้การใช้รถใช้ถนนเกิดความคุ้มค่ามากที่สุด ไม่ว่าขับขี่ในเมือง นอกเมือง หรือที่ไหน ๆ บอกเลยว่าเล็ก ๆ แบบนี้ก็เอาอยู่! หากคุณต้องการขายต่อรถยนต์รุ่นนี้แล้วล่ะก็ บอกเลยว่าคุ้มค่าอย่างแน่นอน

  • ราคาจำหน่าย (ป้ายแดง): เริ่มต้นที่ 559,000-734,000 บาท
  • ราคาจำหน่าย (มือสอง): 390,000-530,000 บาท

สีรถมงคล ประจำปี 2568

สายมูต้องมากับ สีรถถูกโฉลกตามวันเกิด หลายๆ คนคาดหวังว่าในชีวิตจะต้องมีโชค รุ่งโรจน์ทั้งการงาน การเงิน สุขภาพ ครอบครัวอันเป็นที่รักต้องสมบูรณ์พร้อม จึงเลือกปฏิบัติตามความเชื่อของคนไทย แม้ไม่ใช่สายมูก็ทำสักหน่อย ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะการเลือกซื้อรถนอกเหนือจากรุ่น ราคา สมรรถนะ ฤกษ์ดี ฤกษ์มงคลแล้ว ยังมีการเลือกสีรถให้ถูกโฉลกตามวันเกิดอีกด้วย

สีรถถูกโฉลกตามวันเกิดวันอาทิตย์ 

  • สีเสริมบารมี อำนาจ- รถสีแดงหรือสีแดงเลือดหมู 
  • สีเสริมการเงิน และโชคลาภ- รถสีดำ 
  • สีเสริมความปลอดภัย- รถสีขาว สีครีม 
  • สีเสริมความน่าเชื่อถือ- รถสีม่วงเปลือกมังคุด 
  • สีเสริมเสริมดวงให้คนรักเมตตา- รถสีเขียว 
  • สีเสริมดวงเรื่องเมตตามหานิยม- รถสีบรอนซ์ สีเทา สีทอง 

สีรถต้องห้ามคนเกิดวันอาทิตย์ ได้แก่ รถสีฟ้า สีน้ำเงิน เพราะเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต

สีรถถูกโฉลกตามวันเกิดวันจันทร์ 

  • สีเสริมบารมี อำนาจ- รถสีเขียว
  • สีเสริมการเงิน และโชคลาภ- รถสีส้ม สีเหลือง
  • สีเสริมความปลอดภัย- รถสีดำ
  • สีเสริมความน่าเชื่อถือ- รถสีม่วงเปลือกมังคุด สีฟ้า
  • สีเสริมเสริมดวงให้คนรักเมตตา-  รถสีน้ำเงิน สีทอง     
  • สีเสริมดวงเรื่องเมตตามหานิยม- รถสีชมพู      

สีรถต้องห้ามคนเกิดวันจันทร์ ได้แก่ รถสีแดง เพราะเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต

สีรถถูกโฉลกตามวันเกิดวันอังคาร

  • สีเสริมบารมี อำนาจ- รถสีดำ 
  • สีเสริมการเงิน และโชคลาภ- รถสีม่วงแก่
  • สีเสริมความปลอดภัย- รถสีทอง สีแสด 
  • สีเสริมความน่าเชื่อถือ- รถสีบรอนซ์ สีเทา
  • สีเสริมเสริมดวงให้คนรักเมตตา- รถสีน้ำตาล สีเขียว
  • สีเสริมดวงเรื่องเมตตามหานิยม- รถสีแดง สีชมพู

สีรถต้องห้ามคนเกิดวันอังคาร ได้แก่ รถสีขาว สีครีม เพราะเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต

สีรถถูกโฉลกตามวันเกิดวันพุธ (กลางวัน) 

  • สีเสริมบารมี อำนาจ- รถสีน้ำตาล สีทอง
  • สีเสริมการเงิน และโชคลาภ- รถสีม่วงแก่
  • สีเสริมความปลอดภัย- รถสีเทา สีบรอนซ์
  • สีเสริมความน่าเชื่อถือ- รถสีน้ำเงิน สีฟ้า
  • สีเสริมเสริมดวงให้คนรักเมตตา- รถสีเขียว สีดำ
  • สีเสริมดวงเรื่องเมตตามหานิยม- รถสีขาว สีเหลืองอ่อน 

สีรถต้องห้ามคนเกิดวันพุธ (กลางวัน) ได้แก่ รถสีชมพู สีแสด เพราะเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต

สีรถถูกโฉลกตามวันเกิดวันพุธ (กลางคืน) 

  • สีเสริมบารมี อำนาจ- รถสีดำ
  • สีเสริมการเงิน และโชคลาภ- รถสีแดง สีน้ำตาล
  • สีเสริมความปลอดภัย- รถสีเทา สีบรอนซ์
  • สีเสริมความน่าเชื่อถือ- รถสีชมพู
  • สีเสริมเสริมดวงให้คนรักเมตตา- รถสีน้ำเงิน สีฟ้า
  • สีเสริมดวงเรื่องเมตตามหานิยม- รถสีม่วงแก่

สีรถต้องห้ามคนเกิดวันพุธ (กลางคืน) ได้แก่ รถสีแสด สีทอง เพราะเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต

สีรถถูกโฉลกตามวันเกิดวันพฤหัสบดี

  • สีเสริมบารมี อำนาจ- รถสีส้ม สีทอง
  • สีเสริมการเงิน และโชคลาภ- รถสีฟ้า
  • สีเสริมความปลอดภัย- รถสีแดง
  • สีเสริมความน่าเชื่อถือ- รถสีขาว
  • สีเสริมเสริมดวงให้คนรักเมตตา- รถสีเทา สีบรอนซ์
  • สีเสริมดวงเรื่องเมตตามหานิยม- รถสีเขียว

สีรถต้องห้ามคนเกิดวันพฤหัสบดี ได้แก่ รถสีดำ สีม่วง สีน้ำเงิน เพราะเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต

สีรถถูกโฉลกตามวันเกิดวันศุกร์ 

  • สีเสริมบารมี อำนาจ- รถสีแดง สีทอง
  • สีเสริมการเงิน และโชคลาภ- รถสีน้ำตาล สีฟ้า สีน้ำเงิน
  • สีเสริมความปลอดภัย- รถสีแดง สีชมพู
  • สีเสริมความน่าเชื่อถือ- รถสีเขียว
  • สีเสริมเสริมดวงให้คนรักเมตตา- รถสีดำ
  • สีเสริมดวงเรื่องเมตตามหานิยม- รถสีเหลือง สีทอง

สีรถต้องห้ามคนเกิดวันศุกร์ ได้แก่ รถสีเทา สีบรอนซ์ สีม่วง เพราะเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต

สีรถถูกโฉลกตามวันเกิดวันเสาร์

  • สีเสริมบารมี อำนาจ- รถสีทองสีเหลือง
  • สีเสริมการเงิน และโชคลาภ- รถสีเทา สีบรอนซ์
  • สีเสริมความปลอดภัย- รถสีน้ำเงิน สีฟ้า
  • สีเสริมความน่าเชื่อถือ- รถสีแดง
  • สีเสริมเสริมดวงให้คนรักเมตตา- รถสีชมพู
  • สีเสริมดวงเรื่องเมตตามหานิยม- รถสีดำ สีม่วงแก่

สีรถต้องห้ามคนเกิดวันเสาร์ ได้แก่ รถสีเขียว สีแสด เพราะเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต

6 พฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุขณะขับขี่

  1. อย่าขับรถประชิดคันหน้ามากเกินไป ควรเว้นระยะห่าง 2 ช่วงคันรถ
  2. อย่าขับรถตอนอ่อนเพลีย เจ็บปวด ง่วงนอน
  3. ขับรถตามกฎจราจร อย่าฝ่าฝืน มีมารยาทในการขับขี่
  4. เมาแล้วไม่ขับเด็ดขาด
  5. ห้ามเล่นโทรศัพท์มือถือระหว่างขับขี่
  6. ไม่เปลี่ยนเลนกะทันหัน
check-credit