ในเมื่อเราพูดถึงระบบเบรคของรถยนต์ในรูปแบบต่าง ๆ กันไปแล้ว อีกหนึ่งชิ้นส่วนที่สำคัญและต้องหมั่นดูแลอยู่เป็นพิเศษอีกหนึ่งชิ้นนั่นก็คือ ผ้าเบรค ที่จะต้องเปลี่ยนอยู่เป็นประจำตลอดอายุการใช้งานของตัวรถ ซึ่งในวันนี้เราก็จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับสิ่งนี้กันผ่าน บทความ ผ้าเบรคคืออะไร ควรเปลี่ยนตอนไหน แล้วแบบไหนยี่ห้ออะไรถึงจะดีกับรถของเราที่สุด เรื่องนี้ ที่คนใช้รถยนต์ทุกคนควรที่จะต้องมีความรู้ติดตัวกันเอาไว้บ้าง อย่างน้อยก็ควรที่จะรู้ว่าควรเปลี่ยนผ้าเบรคในตอนไหน แบบไหนปลอดภัยแบบไหนอันตราย เพื่อให้ทุกการเดินทางเต็มไปด้วยความมั่นใจและความปลอดภัย กับทั้งท่านและผู้ร่วมเดินทาง หรือ แม้กระทั่งผู้ใช้รถใช้ถนนท่านอื่น ๆ ด้วย
ผ้าเบรคคืออะไร
ผ้าเบรคคือ ชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ที่จะช่วยสร้างแรงเสียดทานให้ระบบเบรค คือชิ้นส่วนสำคัญที่ระบบเบรคในทุกรูปแบบจะขาดไปไม่ได้ โดยอุปกรณ์ชิ้นนี้จะทำหน้าที่เป็นตัวกดหรือจับตัวจานดิสก์เบรคที่ติดอยู่กับล้อในขณะที่เราเหยียบเบรค ตัวแม่ปั้มจะคอยดันผ้าเบรคให้มาสัมผัสกับจานที่ยึดติดกับล้อรถเพื่อช่วยชะลอหรือหยุดรถ จนเกิดการทำงานของระบบเบรคนั่นเอง โดยตัวผ้าเบรคนั้นจะทำมาจากวัสดุที่มีเนื้อหยาบกร้านทนทานต่อความร้อน เช่น เส้นใยสังเคราะห์ หรือ เส้นใยเหล็ก และ อีกมากมายหลายชนิด ที่วางจำหน่ายอยู่มากมายหลายยี่ห้อ ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีคุณสมบัติและความสามารถที่แตกต่างกันออกไป นั่นก็รวมไปถึงอายุการใช้งานด้วยเช่นกัน แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าผ้าเบรคแบบไหนจะเหมาะกับรถของเรา แล้วจากยี่ห้อไหนดีที่สุดกัน ซึ่งถ้าถามว่าดีที่สุดไหมเราก็คงจะตอบไม่ได้ เพราะแน่นอนว่าแต่ละแบรนด์ก็มีข้อดีและจุดที่โดดเด่นแตกต่างกันไป ซึ่งก่อนจะไปดูว่าผ้าเบรคมียี่ห้ออะไรบ้างเราไปรู้จักกับ ผ้าเบรคทั้ง4 รูปแบบกันก่อนดีกว่า
ผ้าเบรคมีทั้งหมด 4 รูปแบบ
1.ผ้าเบรคออร์แกนิก คือ ผ้าเบรคที่จะผลิตด้วยใยแก้ว , ยาง และ ไฟเบอร์ โดยจะไม่ใช้ส่วนผสมของโลหะอยู่เลย ซึ่งข้อดีของผ้าเบรคชนิดนี้ คือการที่ไม่มีส่วนผสมของโลหะจะช่วยทำให้เวลาที่ใช้เบรคจะมีความนุ่มเงียบมากเป็นพิเศษโดยจะไม่มีเสียงดังและยังช่วยถนอมจานเบรคได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย ส่วนข้อเสียนั้นก็จะมีอายุการใช้งานที่สั้น และ ไม่เหมาะกับการใช้ความเร็วสูง
2.ผ้าเบรคเมทัลลิค คือ ผ้าเบรคที่ทำจากโลหะร้อน โดยจะออกแบบมาให้สามารถทนทานต่อความร้อนได้สูงมาก ๆ และ ตัวผ้าเบรคมีอายุการใช้งานที่มากกว่าผ้าเบรครุ่นอื่น ๆ หรือ จะเรียกว่าเป็นผ้าเบรคที่แข็งแกร่งที่สุดก็ว่าได้ แต่ข้อเสียหลัก ๆ ก็คือด้วยความที่ตัวผ้าเบรคนั้นเป็นเหล็กก็อาจจะทำให้จานเบรคสึกหรอได้เร็วก่อนเวลาอันควร รวมถึงเวลาเบรคก็จะมีเสียงที่ดังกวนใจอยู่บ่อยครั้ง และ ไม่เหมาะกับการใช้ความเร็วสูง
3.ผ้าเบรกเซมิเมทัลลิค คือ ผ้าเบรคที่ผสมระหว่างโลหะกับใยสังเคราห์ โดยจะใช้ส่วนผสมของโลหะในอัตราส่วนที่มากกว่า เป็นผ้าเบรคอีกหนึ่งรูปแบบที่ได้รับความนิยมมาก ๆ ในปัจจุบัน เพราะค่อนข้างอเนกประสงค์ มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน รองรับการใช้งานได้หลากหลายสามารถเบรคบนความเร็วสูงได้ดี เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบความเร็ว แต่ข้อเสียก็จะไม่ค่อยเหมาะกับรถยนต์ที่บรรทุกน้ำหนักเยอะ หรือ ตัวรถที่มีน้ำหนักตัวถังมาก
4.ผ้าเบรคเซรามิก คือผ้าเบรคสมรรถนะสูงที่ทำมาจากเซรามิกผสมกับทองแดง ซึ่งทำให้มีประสิทธิภาพดีที่สุดกว่าผ้าเบรคทุกรูปแบบ ที่ให้ทั้งความนุ่มเงียบในเวลาใช้งานและจะไม่มีเขม่าดำออกมาในเวลาที่เบรกในความเร็วสูง ส่วนข้อเสียของผ้าเบรคชนิดนี้ก็จะเป็นในเรื่องความร้อนที่ตัวผ้าเบรคนั้นจะไม่ดูดซับความร้อนทำให้ความร้อนจะไปอยู่ที่จานเบรคแทน และ ผ้าเบรคชนิดนนี้ก็จะมาพร้อมกับราคาที่สูงมาก ๆ
ผ้าเบรคควรเปลี่ยนตอนไหน
สำหรับระยะทำงานของผ้าเบรคแต่ละชนิดก็จะมีอายุการใช้งานที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้ผลิตของแต่ละแบรนด์ก็จะมีระยะเวลาที่การันตีมาให้ อยู่ที่ 40,000-100,000 กิโลเมตร แล้วแต่ชนิดของผ้าเบรคที่เลือกใช้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ข้อมูลที่จะสามารถเชื่อและไว้ใจได้ทั้งหมด 100 เปอร์เซนต์ เพราะแน่นอนว่ารถยนต์แต่ละคันนั้น มีอะไรหลาย ๆ อย่างที่แตกต่างกัน ทั้งขนาดของเครื่องยนต์ , ขนาดของตัวรถ ซึ่งนั่นก็ยังไม่รวมไปถึงพฤติกรรมการขับขี่ของแต่ละคน ที่บางคนก็ขับช้าบางคนก็ขับเร็ว หรือ แม้กระทั่งสถานที่ภูมิประเทศที่ใช้งานด้วยว่าต้องขึ้นเขาลงเขาเป็นประจำรึป่าว ซึ่งแน่นอนถ้ายิ่งใช้งานหนักก็จะยิ่งทำให้ผ้าเบรคนั้นหมดไว้ขึ้น อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถบ่งบอกได้ว่าเราควรเปลี่ยนผ้าเบรคได้แล้วนอกจากระยะทางในการใช้งาน คือความหนาของปริมาณผ้าเบรค ซึ่งเราสามารถเช็คดูได้ก่อนจะเปลี่ยนว่าตัวผ้าเบรคนั้นมีความหนาในระดับไหน ซึ่งข้อสังเกตุง่าย ๆ เลยถ้าผ้าเบรคที่พึ่งจะแกะกล่องออกมานั้นจะมีความหนาอยู่ที่ 10 มิลลิเมตรขึ้นไป ซึ่งถ้าหากความหนาของผ้าเบรคลดลงมาเหลือ 5 มิลลิเมตร นั่นก็ถือว่าอยู่ในจุดที่ควรเปลี่ยนได้แล้ว และ ถ้าหากพบว่ามีความหนาต่ำกว่า 5 มิลลิเมตร คือช่วงเวลาที่ไม่ควรใช้รถอย่างยิ่ง และ ต้องรีบเปลี่ยนด้วยด่วน
ผ้าเบรคยี่ห้อไหนดีที่สุด
- Compact Brake ผ้าเบรคคอมแพคท์ คืออีกหนึ่งแบรนด์ผ้าเบรคระดับโลกที่ใครหลาย ๆ คนต่างก็เลือกใช้ โดยจะมีผ้าเบรคคุณภาพมาให้เลือกมากมายหลายรูปแบบดังนี้
- Compact Primo คือ ผ้าเบรคที่ใช้สำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ใช้งานในเมือง สามารถรองรับความเร็วปกติได้ดี
- Compact Nano X คือผ้าเบรคสำหรับรถสปอร์ต หรือ รถยนต์ที่มีพละกำลังสูง เพราะจะให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่สูง ช่วยให้ระยะเบรคสั้น ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว และ สัมผัสที่นุ่มเงียบ
- Compact Duramax คือผ้าเบรคสำหรับรถกระบะหรือรถบรรทุก ที่ใช้ขึ้นเขาลงเขาเป็นประจำ เพราะจะเป็นผ้าเบรคที่ทนทานต่อความร้อนได้สูง สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน
2. Bendix คือ อีกหนึ่งยี่ห้อผ้าเบรคที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน โดยจะมีผ้าเบรคให้เลือกมากถึง 5 รุ่น ได้แก่
- General CT คือผ้าเบรคสำหรับรถยนต์ทั่วไปที่ใช้งานในเมือง และ ใช้ความเร็วอยู่บ้างในบางเวลา
- Heavy Duty เหมาะกับรถที่ต้องบรรทุกของหนัก หรือ รถตู้
- Metal King Titanium คือผ้าเบรคสมรรถนะสูง ที่เหมาะกับรถสปอร์ตที่ใช้ความเร็วสูงและใช้เบรคอย่างรวดเร็ว
- 4WD SUV คือผ้าเบรคสำหรับรถยนต์ยกสูงสายลุยแบบ Off-Road สามารถลุยน้ำลุยโคลนได้เต็มที่
- Premium คือ ผ้าเบรคเซรามิคเกรดพรีเมี่ยม ที่รองรับความเร็วสูงได้ดี มีระยะเบรคที่สั้น ทนทานต่อความร้อน
3. Nexzter ผู้ผลิตผ้าเบรคยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น ที่มากับผ้าเบรคทั้งหมด 4 รุ่น ได้แก่
- Next Spec คือผ้าเบรครุ่นเริ่มต้น สำหรับรถยนต์ทั่วไป
- MU Spec คือผ้าเบรคสำหรับรถยนต์กึ่งสปอร์ตที่สามารถรองรับความเร็วสูงได้ในระดับหนึ่ง
- Pro Spec คือผ้าเบรดเกรดรถสปอร์ตสมรรถนะสูง
- Race Spec คือผ้าเบรคเซรามิคเกรดสำหรับรถแข่ง
4. TRW แบรนด์ผ้าเบรคชื่อดังจากเยอรมนี ที่มากับผ้าเบรคทั้งหมด 4 รุ่น ดังนี้
- COTEC เหมาะกับรถยนต์ยุโรปทั่วไป
- DETEC เหมาะกับรถเก๋งญี่ปุ่นทั่วไป
- UTEC เหมาะกับรถกระบะหรือรถบรรทุก
- ATEC คือผ้าเบรคอเนกประสงค์ที่ใช้ได้ทั้งรถเก๋งและรถกระบะ
5. Akebono แบรนด์ผ้าเบรคสัญชาติญี่ปุ่น สุดโด่งดังที่ผลิตผ้าเบรคให้กับแบรนด์รถยนต์ชั้นนำทั่วโลกมาแล้วมากมาย โดยจะมีให้เลือกทั้งหมด 3 รุ่น
- PRO-ACT คือผ้าเบรคสำหรับรถยนต์ทั่วไป
ผ้าเบรกที่ได้รับการออกแบบให้ลดเสียงดังรบกวนและการสั่นสะเทือน เพื่อให้คุณภาพการเบรกที่นุ่ม เงียบ มีประสิทธิภาพการใช้งานที่ยาว เหมาะกับการใช้งานทั่วไป
- Euro คือผ้าเบรคเซรามิคสมรรถนะสูง ที่เหมาะกับรถสปอร์ตจากยุโรป
- Performance คือ ผ้าเบรคเซรามิคเกรดรถแข่ง โดยจะเหมาะกับรถสปอร์ตและรถยนต์ที่ได้รับการ Modify ทุกรุ่น
6. Brembo คือ ผู้ผลิตเบรคอันดับหนึ่งของโลกซึ่งแน่นอนถ้าไม่ใส่เข้ามาด้วยก็คงไม่สมบูรณ์ ซึ่งผ้าเบรคของ Brembo ก็จะมีเพียงรุ่น Brembo Xtra ที่ผลิตมาจากส่วนผสมมากกว่า 30 ชนิด ที่จะช่วยให้ระบบเบรคของคุณมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับรถสปอร์ตสมรรถนะสูงเลย แต่ก็ต้องแลกมากับราคาที่แพงมาก ๆ ด้วยเช่นกัน
สรุป
สำหรับผ้าเบรค ก็เรียกได้ว่าเป็นชิ้นส่วนที่ต้องหมั่นดูแล และ ต้องเลือกใช้ให้ตรงรุ่นตรงคุณสมบัติของรถคุณด้วยเช่นกัน แถมยังเป็นอีกหนึ่งชิ้นส่วนที่ต้องหมั่นดูแลรักษาอยู่ตลอด เพราะถ้าหากเสื่อมสภพหรือเสียหายไปนั่นก็หมายถึงชีวิตได้เลย และ ก่อนจากกันในครั้งนี้ เราหวังว่า บทความ ผ้าเบรคคืออะไร ควรเปลี่ยนตอนไหน แล้วแบบไหนยี่ห้ออะไรถึงจะดีกับรถของเราที่สุด เรื่องนี้ จะมอบประโยชน์ให้กับผู้อ่านได้ทุกท่านนะครับ ส่วนในครั้งหน้าจะเป็นบทความเรื่องอะไรนั้น โปรดติดตามกันด้วยนะครับ
แหล่งอ้างอิง